ผู้เขียน หัวข้อ: ตำนานการสร้างโลกและน้ำท่วมโลก ของกรีก  (อ่าน 7000 ครั้ง)

ออฟไลน์ เลิศชาย ปานมุข

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3893

        ความรู้เกี่ยวกับตำนานที่ว่าด้วยการสร้างจักรวาลและโลก จะพบได้ทั่วไปไม่เพียงแต่ในชาติที่มีอารยธรรมเท่านั้น ส่วนมากจะเริ่มต้นด้วยการสร้างธรรมชาติก่อน แล้วจึงตามมาด้วยการสร้างเทพเจ้าและมนุษย์ ในปัจจุบันโลกยังเล่าขานตำนานการสร้างโลกและมนุษย์ ในปัจจุบันโลกยังเล่าขานตำนานการสร้างโลกและมนุษย์ตามความเชื่อของชนชาติต่าง ๆ

การสร้างโลกตามตำนานกรีก

        บทกวีเรื่อง Theogony หรือ เทวกำเนิด ของ ฮีเสียด (Hesiod) กวีชาวกรีก ซึ่งประพันธ์ขึ้นเมื่อราวศตวรรษที่ ๘ ก่อนคริสตกาล ถือเป็นความพยายามที่เก่าแก่ที่สุดที่จะอธิบายการเกิดของจักรวาล ฮีเสียดกล่าวว่าในตอนนั้นมีเพียง เคออส (Chaos) ซึ่งเป็นอวกาศที่เวิ้งว้างและมืดมน และแล้ว จีอา แม่ธรณี ผู้มี ?แผ่นอกลึก? จึงปรากฏขึ้น ตามมาด้วย อีรอส ?ความรักซึ่งทำให้ใจอ่อน? ซึ่งต่อแต่นั้นมาจะมีอิทธิพลเหนือการสร้างสิ่งมีชีวิตและสรรพสิ่งทั้งหลายเคออสให้กำเนิดแอรีบุส (Erebus) คือความมืดและนิกซ์ คือราตรี (Nyx/Night) จากความสัมพันธ์ของทั้งสองทำให้เกิด อีเธอร์ (Aether) คือแสงสว่าง และเฮ็มเมอรา (Hemera) คือกลางวัน ส่วนจีอานั้นให้กำเนิด ยูเรนุส (Euranus) คือ ?ท้องฟ้าซึ่งประดับด้วยดาว? และทำให้ยูเรนุสมีขนาดใหญ่เท่ากับตนเองจนกระทั้งบดบังจีอาได้มิด แล้วจึงสร้างภูเขาสูงและท้องทะเล เมื่อมีการสร้างจักรวาลแล้วก็ต้องมีผู้อาศัย จากความสัมพันธ์ระหว่างจีอาและยูเรนุสผู้เป็นบุตรชาย เกิดเป็นลูกชุดแรก คือ ไททันส์ (Titans) ซึ่งเป็นเทพเจ้าที่มีขนาดใหญ่โตเหมือนยักษ์ มีทั้งหมด ๑๒ องค์ เป็นชาย ๖ หญิง ๖ อันได้แก่ โอซีอานุส (Oceanus) ซีอุส (Coeus) ไฮเพอรีออน (Hyperion) ครีอุส (Crius) อิอัพเพตุส (Iapetus) โครนุส (Cronus) ธีอา (Theia) รีอา (Rhea) นีมอสสินี (Mnemosyne) ฟีบี (Phoebe) ทีธิส (Tethys) และธีมิส (Themis)

        ยูเรนอสและจีอายังให้กำเนิด ไซคลอพส์ (Cyclops) ซึ่งเป็นเทพเช่นเดียวกัน แต่มีตาเพียงตาเดียวอยู่กลางหน้าผาก ประกอบด้วย บรอนตีซ (Brontes) สเตอโรปีซ (Steropes) และอาร์จีซ (Arges) ทั้งคู่มีลูกอีกชุดหนึ่งซึ่งเป็นอมนุษย์มี ๓ คน คือ คอตตุส (Cottus) บริอารุส (Braiareus) จิจีซ (Gyges) ซึ่งมี ๑๐๐ แขน ๕๐ หัว จึงเรียกรวมกันว่า เฮ็คคาตอนไคริส (Hecatoncheires) หรือ เซ็นติมานีส (Centimanes) ด้วย ทั้งไททันส์ ไซคลอพส์ และเฮ็คคาตอนไครีส ล้วนเป็นสัญลักษณ์ของพลังอันก่อให้เกิดความปั่นป่วนอย่างรุนแรงของธรรมชาติ ความที่เฮ็คคาตอนไครีสมีลักษณะน่าเกลียดน่ากลัว ยูเรสุสจึงจับลูกชุดนี้ขังไว้ใต้พื้นดิน ซึ่งทำให้จีอาโกรธมาก จึงสร้างเคียวเหล็กกล้าขึ้นมา และปรึกษาพวกลูก ๆ เกี่ยวกับแผนการที่จะแก้แค้นสามี มีแต่โครนุสลูกชายคนเล็กคนเดียวที่ตกลงร่วมมือด้วย โดยใช้เคียวลอบตัดอวัยวะเพศของยูเรนุสขณะกำลังนอนหลับและนำไปโยนทิ้งทะเล โลหิตจากบาดแผลของยูเรนุสที่ตกสู่โลกให้กำเนิด Furies หรือ เอรินีซ (Erinyes) วิญญาณทั้งสามที่คอยติดตามลงโทษผู้กระทำผิดบาป นอกจากนั้นยังให้กำเนิดยักษ์ด้วย ส่วนชิ้นเนื้อที่ลอยไปบนพื้นทะเลนั้นได้แตกตัวออกกลายเป็นฟองคลื่นสีขาว จากฟองคลื่นนี้เองที่เทพีแอฟโฟรไดตีได้ถือกำเนิดขึ้น จึงไม่น่าประหลาดใจที่พระนางจะเป็นเทพีแห่งความรักและความใคร่

        เมื่อกำจัดยูเรนุสแล้ว โครนุสก็ได้ปลดปล่อยพวกพี่ชายคือไททันส์ให้เป็นอิสระยกเว้นไซคลอฟส์กับเฮ็คคาคอนไครีส ได้ครองความเป็นใหญ่ในจักรวาล โดยแต่งงานกับรีอาผู้เป็นพี่สาว มีธิดา ๓ องค์ คือ เฮสเชีย (Hestia) ดีมิเทอร์ (Demeter) และฮีรา (Hrea) บุตร ๓ องค์ คือ เฮดีส (Hades) โพโซดอน (Poseidon) และซุส (Zeus) เนื่องจากมีคำทำนายว่าบุตรคนหนึ่งของตนจะแย่งอำนาจทุกครั้งที่รีอาให้กำเนิด โครนุสจึงกลืนลูกเข้าไปยกเว้นบุตรคนสุดท้ายคือซุส ซึ่งรีอาแอบไปคลอดที่เกาะครีท จีอาผู้เป็นยายนำทารกน้อยไปมอบให้พวกคูรีตีซ (Curetes) ซึ่งเป็นนักบวชของรีอาเลี้ยงดูสั่งสอนที่ภูเขาไอดา (Ida) ส่วนรีอาก็เอาก้อนหินห่อผ้าอ้อมเด็กส่งให้โครนุสกลืนเข้าไปทันทีที่ซุสโตเป็นหนุ่มก็วางแผนแก้แค้นบิดาโดยบังคับให้โครนุสสำรอกพี่ ๆ ทั้งห้าออกมา โครนุสถูกขับไล่ไปอยู่สุดขอบโลก ซุสจึงตั้งอาณาจักรของตนขึ้นมาที่ยอดเขาโอลิมปุส (Olympus) และปกครองเหล่าเทพที่เรียกว่า เทพเจ้าโอลิมเปียน (The Olympians) ซึ่งมีด้วยกัน ๑๒ องค์ ประกอบด้วยพี่ ๆ และลูก ๆ ของซุส โดยซุสเป็นจอมเทพ ทำหน้าที่ปกครองสวรรค์และท้องฟ้ามีฮีราเป็นชายา แบ่งอาณาเขตให้โพไซดอนปกครองส่วนที่เป็นพื้นน้ำ และเฮดีส ปกครองเฮดีส ดินแดนแห่งคนตาย พวกไททันส์อิจฉาเทพโอลิมเปียนที่เข้ามาแย่งอำนาจหน้าที่ของตนจึงก่อการกบฏ ซุสจึงได้ปลดปล่อยพวกไซคลอพส์และเฮ็คคาตอนไครีสให้เป็นอิสระ บรรดาไซคลอพส์ได้มอบสายฟ้า (Thunderbolt) ให้เป็นอาวุธของซุส และพวกเฮ็คคาตอนไครีสใช้แขนอันทรงพลังของตนขว้างหินก้อนมหึมาบดขยี้พวกไททันส์ ซึ่งหลังจากพ่ายแพ้แล้วก็ถูกล่ามโซ่อยู่ลึกลงไปใต้โลก แต่พวกยักษ์ก็ก่อกบฏขึ้นมาอีกเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างเทพเจ้ากับยักษ์มีคำทำนายว่าพวกยักษ์จะไม่แพ้จนกว่าจะถูกเฮอร์คูลีสซึ่งเป็นมนุษย์และเป็นเชื้อสายของซุสฆ่าซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น

น้ำท่วมโลก

        ตามตำนานกรีก แม้จะลงโทษมนุษย์โดยอาศัยมือแพนดอราแล้ว ซุสก็ยังไม่หายโกรธและบันดาลให้ฝนตกหนักเกิดน้ำท่วมใหญ่เพื่อทำลายล้างมนุษยชาติให้หมดสิ้นแต่โพรมีธุสซึ่งระวังตัวอยู่แล้วได้เตือนให้บุตรชายคือ ดูคาลิออน (Deucalion) ซึ่งแต่งงานกับเพียร์รา (Pyrrha) บุตรสาวของเอปิมีธุสสร้างเรือขึ้นมาลำหนึ่ง ทั้งสองขึ้นไปอยู่บนเรือซึ่งลอยอยู่ ๙ วัน ๙ คืน เมื่อฝนหยุดตกในวันที่ ๑๐ สองสามีภรรยาก็ลงจากเรือซึ่งติดค้างอยู่บนยอดเขาพาร์นัสซุส (Parnassus) ดูคาลิออนทำพีธีสังเวยซุส ซึ่งประทับใจในความภักดีของเขาและสัญญาว่าจะให้พรแก่ดูคาลิออน สิ่งที่เขาขอคือ ให้ซุสบันดาลให้เผ่าพันธุ์มนุษยชาติกลับมาดำรงอยู่ต่อไป อีกตำนานหนึ่งกล่าวว่าดูคาลิออนกับเพียร์ราเดินทางไปที่เดลไฟ (Delphi) เพื่อสวดขอพรจากเทพีธีมีส ซึ่งสั่งให้ทั้งคู่คลุมศีรษะแก้สายรัดเอวออกและโยนกระดูกของบรรพบุรุษคนแรกไปข้างหลัง คำสั่งซึ่งเป็นปริศนานี้ความความงุนงงให้ทั้งสองจนในที่สุดก็ไขปริศนาได้จึงใช้ผ้าคลุมศีรษะเดินข้ามท้องทุ่งไป พร้อมทั้งโยนก้อนหินซึ่งเก็บขึ้นมาจากพื้นดินข้ามไหล่ไปข้างหลัง คำไขปริศนาก็คือ พวกเขาสืบเชื้อสายมาจากจีอาผู้เป็นแม่ธรณีและก้อนหินก็คือกระดูกของแม่ธรณีนั่นเอง ก้อนหินซึ่งดูคาลิออนโยนเกิดเป็นมนุษย์ผู้ชาย และที่เพียร์ราโยนเกิดเป็นมนุษย์ผู้หญิง ทำให้มีมนุษย์สืบเผ่าพันธุ์ต่อไป

        การสร้างมนุษย์นั้น ตำนานหนึ่งว่ามนุษย์มี ๔ เชื้อสายด้วยกัน ยุดแรกคือยุคทอง มนุษย์ยุคแรกซึ่งอยู่ในช่วงเวลาเดียวกับโครนุสมีความสุขอย่างสมบูรณ์เสมือนเทพเจ้า ไม่แก่ไม่เหนื่อย และไม่มีความวิตกกังวล มีแต่ความสนุกสนานรื่นเริงตลอดเวลาแต่ไม่เป็นอมตะ เมื่อตายไปแล้วมนุษย์ในยุคทองนี้จะกลายเป็นภูตที่คอยปกป้องคุ้มครองผู้ยังมีชีวิต ต่อมาก็เป็นยุคเงิน ซึ่งมนุษย์ในยุคนี้เป็นเกษตรกรผู้อ่อนแออยู่ในโอวาทมารดาตลอดชีวิต มนุษย์ในยุคสัมฤทธิ์แข็งแกร่งราวกับต้นแอชและชอบการสู้รบ ไร้ความปราณี มีพลังมากมาย ในที่สุดก็ฆ่าฟันกันตายการค้นพบโลหะชนิดแรก ๆ เริ่มขึ้นในยุคนี้ จากนั้นก็เป็นยุคเหล็กคือยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นสมัยที่มีความทุกข์เข็ญและอาชญากรรม โดยที่มนุษย์จะไม่เคารพคำสาบานของตน ไม่เคารพความยุติธรรม หรือคุณธรรม ฮีเสียดได้จัดให้ยุควีรบุรุษซึ่งเป็นยุคของนักรบผู้กล้าหาญซึ่งต่อสู้ที่เมืองธีบส์ (Thebes) และทรอย (Troy) อยู่ระหว่างยุคสัมฤทธิ์กับยุคเหล็ก

        อีกหนึ่งตำนานหนึ่งบอกว่าโพรมีธุส ซึ่งเป็นไททันส์ที่เป็นกลางและไม่ได้รบกับซุสเป็นผู้สร้างมนุษยชาติจากดินและน้ำ หรือจากน้ำตาของตนเอง โดยสร้างร่างกายก่อน แล้วอธินีจึงเป่าวิญญาณและชีวิตเข้าไปในตัวมนุษย์ ในตอนที่โครนุสยังมีอำนาจ เทพเจ้าและมนุษย์อยู่ร่วมกันด้วยความเข้าใจอันดี แต่เมื่อซุสได้เป็นใหญ่ ได้จัดให้มีการประชุมร่วมกันของเทพเจ้าและมนุษย์ เพื่อกำหนดว่ามนุษย์ควรถวายส่วนใดของสัตว์สังเวยแก่เทพเจ้า โดยมอบหมายให้โพรมีธุสเป็นผู้แบ่ง โพรมีธุสฆ่าวัวตัวใหญ่และตัดแบ่งชิ้นส่วนออกเป็น ๒ กอง กองหนึ่งประกอบด้วยเนื้อ ตับไตไส้พุงและส่วนอื่น ๆ ที่น่ากิน โดยเอาหนังวัวคลุมไว้ อีกกองหนึ่งมีแต่กระดูกซึ่งแล่เนื้อออกไปแล้ว ปกคลุมด้วยชั้นไขมันละเลื่อม ซุสจึงได้รับเชิญให้เลือกก่อนเลือกกองที่มีมับกลบอยู่ แต่พอเปิดออกมาเห็นแต่กระดูกก็บันดาลโทสะ เพราะนั่นหมายความว่าตั้งแต่นั้นมามนุษย์จะถวายแก่กระดูกเป็นเครื่องสังเวยเทพเจ้า ส่วนเนื้อเก็บไว้กินเอง ด้วยความโกรธซุสจึงเอาไฟคืนไปจากมนุษย์ แต่โพรมีธุสก็ไปนำไฟจากเตาหลอมของเทพแห่งไฟ เฮเฟสตุส (Hephestus) มาให้มนุษย์ใช้ป้องกันตนเองซุสจึงยิ่งโกรธมากขึ้นอีก แลสั่งให้เฮเฟสตุสนำน้ำและดินเหนียวมาปั้นเป็นสาวพรหมจารีซึ่งมีความงามเทียบเท่าเทพีทั้งหลาย เทพทุกองค์ประทานพรพิเศษให้สาวงามผู้นี้ซึ่งได้ชื่อว่า แพนดอรา (Pandora) ซึ่งแปลว่า ?ของขวัญจากทุกคน? ยกเว้นเฮอร์มีสซึ่งใส่ความไม่ซื่อสัตย์ไว้ในใจของแพนดอราและใส่คำโกหกในปากของเธอ ซุสส่งนางไปกำนัลเอปิมีธุส (Epimetheus) ผู้เป็นน้องชายโพรมีธุส ทั้ง ๆ ที่โพรมีธุสเตือนล่วงหน้าแล้วว่าอย่ารับสิ่งใดจากซุส เอปิมีธุสซึ่งหลงใหลความงามของแพนดอราก็รับนางซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้หญิงคนแรกของโลกเป็นภรรยา แต่แพนดอราไม่ได้มาตัวเปล่า นางนำหีบใบใหญ่ซึ่งเรียกกันว่า Pandora?s Box ติดมาด้วย เมื่อนางเปิดหีบทุกข์โศกโรคภัยทั้งหลายก็โบยบินออกมาและแพร่กระจายไปทั่วโลก ทำความเดือดร้อนให้มนุษย์เท่ากับซุสได้แก้แค้นมนุษย์อย่างสาสม มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในหีบไม่บินหายไป นั่นก็คือ ?ความหวัง? ซึ่งทำให้มนุษย์ยังดำรงชีวิตอยู่ได้ชื่อของสองพี่น้องก็มีความนัยแฝงอยู่ เพราะโพรมีธุส แปลว่า ?คิดก่อน? ส่วนเอปิมีธุสแปลว่า ?คิดทีหลัง?

หนังสือสกุลไทย ปีที่ ๕๔ ฉบับที่ ๒๗๘๐
ประจำวันอังคารที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๑
ห้องสมุดสกุลไทย ความเชื่อ หน้า ๑๓๔ - ๑๓๕


ที่มา  :  http://www.thaienv.com/content/view/610/39/