ผู้เขียน หัวข้อ: พระเจ้าเอกทัศ กษัตริย์องค์สุดท้าย แห่งกรุงศรีอยุธยา  (อ่าน 4054 ครั้ง)

ออฟไลน์ เลิศชาย ปานมุข

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3740




สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์

พระบาทสมเด็จพระบรมราชากษัตริย์บวรสุจริต หรือ สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๐๑-๒๓๑๐) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๓๓ และรัชกาลสุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระนามเดิม เจ้าฟ้าเอกทัศน์ ต่อมาได้ทรงกรมเป็น กรมขุนอนุรักษ์มนตรี

เพื่้อไม่ให้สับสนกับผู้อ่านดังนั้นจึงขอเรียนให้ทราบว่าท่านมีหลายพระนามดังนี้

    สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์
    พระเจ้าเอกทัศ (ชื่อที่นิยมเรียกโดยทั่วไป)
    สมเด็จพระบรมราชากษัตริย์บวรสุจริต (พระนามเมื่อขึ้นครองราชย์)
    สมเด็จพระที่นั่งสุริยาบรินทร
    ขุนหลวงขี้เรื้อน (ชื่อติดปาก; เนื่องจากเป็นที่เชื่อกันว่าพระองค์ทรงเป็นโรคเรื้อน)
    กรมขุนอนุรักษ์มนตรี พระนามก่อนครองราชย์
    พระที่นั่งสุริยามรินทร์ เมื่อพระเจ้าอุทุมพรกำลังครองราชย์
    พระบรมราชาที่ 3 เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์


การเสด็จขึ้นครองราชย์

ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ หนึ่งปีก่อนหน้าการเสด็จสวรรคต พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งให้เจ้าฟ้าอุทุมพร ผู้เป็นอนุชาของเจ้าฟ้าเอกทัศ ให้ดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล แต่เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตได้ทูลว่า เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี พระเชษฐา ยังคงอยู่ขอพระราชทานให้เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลน่าจะสมควรกว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจึงตรัสว่า กรมขุนอนุรักษ์มน...ั้นโฉดเขลา หาสติปัญญาแลความเพียรมิได้ ถ้าจะให้ดำรงฐานุศักดิ์มหาอุปราชสำเร็จราชกิจกึ่งหนึ่งนั้น บ้านเมืองก็จะเกิดภัยพิบัติฉิบหายเสีย และมีพระราชดำรัสสั่งให้กรมขุนอนุรักษ์มนตรีออกผนวชเสียเพื่อไม่ให้กีดขวางเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลหลังจากที่สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ เสด็จสวรรคตแล้ว สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ได้ขึ้นครองราชย์ แต่เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี แสดงพระองค์ว่าต้องการขึ้นครองราชย์ และเสด็จเข้าประทับ ณ พระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ ต่อมาเมื่อสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ยอมสละราชสมบัติถวายพระเชษฐาและเสด็จออกผนวช เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี จึงเสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๐๑ ทรงพระนาม สมเด็จพระบรมราชากษัตริย์บวรสุจริต แต่คนส่วนใหญ่มักขานพระนามว่า สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ สมเด็จพระที่นั่งสุริยาบรินทร และพระเจ้าเอกทัศน์ (แปลว่า " ตาเดียว " เพราะเชื่อว่าพระองค์พระเนตรเสียไปข้างหนึ่ง และจึงมีอีกฉายานึงว่า " ขุนหลวงขี้เรื้อน " คู่กับสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร คือ " ขุนหลวงหาวัด ")

การรบกับพม่า

ในระหว่างที่พระองค์ครองราชย์พม่าได้ยกกองทัพเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๐๓ สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ได้ทรงขอให้พระเจ้าอุทุมพรลาผนวช ออกมาช่วยบัญชาการรบ พระเจ้าอลองพญา กษัตริย์พม่า ที่ยกทัพมาได้รับบาดเจ็บจากปืนใหญ่ ต้องยกทัพกลับ และสิ้นพระชนม์ระหว่างทาง

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๐๗ พระเจ้ามังระ โอรสพระเจ้าอลองพญา กษัตริย์พม่า ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ได้ส่งกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาอีก ให้เกณฑ์กองทัพ ๒๕,๐๐๐ นาย ยกเข้าตีเมืองไทย ๒ ทาง ทางทิศใต้เข้าตีเมืองมะริด เมืองตะนาวศรีซึ่งเป็นของไทยแตกทั้งสองเมือง หุยตองจา เจ้าเมืองหนีไปอยู่ที่เมืองชุมพร พม่าก็ยกทัพตามมาตีเมืองชุมพรแตกแล้วเผาเมืองเสีย และ ทางทิศเหนือเข้าตีเมืองเชียงใหม่ เมืองกำแพงเพชรจนแตก แล้วตั้งค่ายมั่นต่อเรือสะสมสะเบียงอาหารอยู่ ที่ตั้งค่ายอยู่เหนือตีเมืองกาญจนบุรีแตกอีก แล้วยกเข้าตี เมืองราชบุรี เพชรบุรีแตกทั้ง ๒ เมือง เอกทัศน์ทรงทราบข่าวข้าศึก จึงโปรดให้เกณฑ์กองทัพออกต่อสู้ ให้กองทัพบกไปตั้งค่ายรับข้าศึกที่ตำบลตำหรุ เมืองราชบุรีแห่งหนึ่ง ให้กองทัพเรือยกมาตั้งค่ายอยู่ที่ ค่ายบางกุ้ง และให้พระยารัตนาธิเบศยกทัพเมืองนครราชสีมามาตั้งค่ายอยู่ที่เมืองธนบุรีอีกแห่งหนึ่ง แล้วในขณะนั้นพม่าก็ยกทัพยกไปตีเมืองธนบุรี พระยารัตนาธิเบศก็ยกทัพหนี พม่าก็ยกไปตีค่ายเมืองนนทบุรีแตกอีก มาตีบรรจบกันที่กรุงศรีอยุธยาเป็นศึกขนาบกันสองข้างโดยได้ล้อมกรุงศรีอยุธยานานถึง ปีกับสองเดือน ก็เข้าตีพระนครได้ เมื่อวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๑๐ ตรงกับวันอังคาร ขึ้นเก้าค่ำ เดือนห้า ปีกุน นับเป็นการเสียกรุงครั้งที่ ๒

การเสด็จสวรรคต

สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ได้เสด็จหนีไปซ่อนตัวที่ป่าบ้านจิก ใกล้วัดสังฆาวาส ต้องอดอาหารกว่า ๑๐ วัน และเสด็จสวรรคต เมื่อพม่าเชิญเสด็จไปที่ค่ายโพธิสามต้น พม่าได้นำพระบรมศพไปฝังไว้ที่โคกพระเมรุ หน้าพระวิหารพระมงคลบพิตร แต่ทางพงศาวดารพม่าบอกว่า สับสนระหว่างการหลบหนีในเหตุการณ์กรุงแตก จึงถูกปืนยิงสวรรคตที่ประตูท้ายวัง

ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานพระเจ้าตากให้ขุดพระบรมศพพระเจ้าเอกทัศ เชิญลงพระโกศ  เที่ยวหาพระสงฆ์ซึ่งยังมีเหลืออยู่ มารับทักษิณานุปทาน และสดับปกรณ์ตามประเพณี  แล้วจึงจัดการถวายพระเพลิงพระบรมศพ

และนี่คือส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้อีกหนึ่งหน้า ให้เราได้เรียนรุ้ อย่าลืมว่าบรรพบุรุษผู้กล้าทั้งหลาย ไม่ได้มีประวัติศาสตร์ให้ได้ศึกษา เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้เกิดขึ้นทั้งหมด ณ เวลานั้น เชื่อว่าท่านคิดดีที่สุดแล้ว

เรียบเรียงโดย  พรชัย  สังเวียนวงศ์

ขอบคุณภาพจาก http://board.postjung.com

ขอบคุณข้อมูล
ที่มา: http://th.wikipedia.org/, http://atcloud.com/stories/99151