ผู้เขียน หัวข้อ: 10 อันดับ อุบัติเหตุที่สูญเงินมหาศาลที่สุดแห่งมวลมนุษย์  (อ่าน 3172 ครั้ง)

ออนไลน์ เลิศชาย ปานมุข

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3726

10 Titanic เรือไททานิค



ในยุคช่วงประมาณ 100 ปีก่อน ยังไม่มีเครื่องบิน การเดินทางข้ามมหาสมุทรไปไกลๆ ต้องใช้เรือเท่านั้น จึงเกิดสายการเดินเรือขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ด้วยอุดมการณ์การเดินเรือที่ต่างกัน บ้างก็เน้นความใหญ่ บ้างก็เน้นความหรูหรา บ้างก็เน้นความประหยัด บ้างก็เน้นความเร็ว บ้างก็เน้นการรักษาสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ซึ่งมีสถิติมากมาย ที่สายการเดินเรือต่างๆ ต้องพยายามแข่งขันกัน เพื่อครองสถิติให้ได้มากๆ ในปี ค.ศ. 1858 สายการเดินเรือ "อีสเทิร์น สตีม เนวิเกชั่น คอมปานี" (Eastern Steam Navigation Company) ได้สร้างเรือยักษ์ เอสเอส เกรทอีสเทิร์น (SS Great Eastern) ซึ่งเป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกในยุคนั้น SS Great Eastern มีขนาด 18,915 ตัน ใหญ่กว่าเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดลำก่อนหน้ามันมากกว่า 4.5 เท่า แต่ใช้ได้เพียง 9 ปี ก็ต้องเลิกใช้ไปใน ค.ศ. 1867 และหลังจากสูญเสียมันไปนานกว่า 30 ปี ยังไม่มีเรือโดยสารลำใดที่ใหญ่กว่า SS Great Eastern แต่ใน ค.ศ. 1901 สายการเดินเรือไวต์สตาร์ไลน์ ได้ตัดสินใจสร้างเรือโดยสารที่ใหญ่กว่าเรือ SS Great Eastern เป็นลำแรก โดยจัดทำเป็นโครงการสร้างเรือใหญ่ 4 ลำ เรือทั้งสี่จะมีขนาดกว่า 20,000 ตัน เน้นการออกแบบภายในเรือที่สะดวกสบาย โดยเรือลำแรกของโครงการดังกล่าว คือเรือ อาร์เอ็มเอส เคลติค (ค.ศ. 1901) (RMS Celtic) ปล่อยลงน้ำครั้งแรกในวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1901 กลายเป็นเรือใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยขนาด 21,035 ตัน ตามมาด้วยเรือ อาร์เอ็มเอส เซดริก (RMS Cedric) แต่มันไม่ได้เป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใน ค.ศ. 1905 เอสเอส อเมริกา (SS America) ของสายการเดินเรืออื่นสร้างเสร็จ แย่งตำแหน่งเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกไปจาก Celtic แต่อยู่ในตำแหน่งได้ไม่ทันจบปี ค.ศ. 1905เรือโดยสารลำที่ 3 ของโครงการสร้าง 4 เรือยักษ์ ชื่อ อาร์เอ็มเอส บอลติก (ค.ศ. 1903) (RMS Baltic) สร้างเสร็จในปีเดียวกัน ชิงตำแหน่งเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกกลับคืนสู่สายการเดินเรือไวต์สตาร์ไลน์ได้ 1 ปี ก่อนจะถูกสายการเดินเรืออื่นแย่งตำแหน่งไปอีก และเรือลำสุดท้ายของโครงการ สร้างเสร็จใน ค.ศ. 1907 คือเรือ อาร์เอ็มเอส เอเดรียติก (RMS Adriatic) แต่เรือลำนี้ไม่ได้เป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลก สายการเดินเรือไวต์สตาร์นั้น เชื่อเสมอว่าคนทั่วไปสามารถโดยสารกับเรือได้นาน ถ้าเรือนั้นมี ความเพรียบพร้อมในการบริการที่ดีเยี่ยม สะดวกสบายราวกันอยู่บ้าน และความเร็วเรือที่ได้ต้องใช้เชื้อเพลิงซึ่งเป็นถ่านหินจำนวนมาก ไม่ดีต่อสิ่งแวดล้อม (ไวต์สตาร์เป็นพวกนักอนุรักษ์) ดังนั้นเรือทั้งสี่ลำนี้จึงมีความเร็วบริการประมาณ 16-17 น็อต (29.632-31.484 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ซึ่งความเร็วระดับนี้น้อยเกินกว่าจะสู้เรือของสายการเรืออื่น ๆ ได้ เรือ SS Kaiserin Auguste Victoria (RMS Empress of Scotland (1906)) จากสายการเดินเรืออื่น แย่งตำแหน่งเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกไปจาก RMS Baltic ในปี ค.ศ. 1906 ต่อมา สายการเดินเรือคูนาร์ด (Cunard Line) ซึ่งเป็นคู่แข่งรายสำคัญของไวต์สตาร์ไลน์ ได้ต่อเรือ อาร์เอ็มเอส ลูซิทาเนีย (RMS Lusitania) ต่อขึ้นในอู่ต่อเรือ John Brown ใน ค.ศ. 1907 เป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกแทนเรือ SS Kaiserin Auguste Victoria3 และในปีเดียวกัน คูนาร์ดก็สร้าง อาร์เอ็มเอส มอริทาเนีย หรือ อาร์เอ็มเอส มอร์ทาเนีย (RMS Mauretania) ที่ต่อขึ้นในอู่ต่อเรือ Tyneside ได้ออกบริการในปีเดียวกัน เป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกแทน RMS Lusitania ทั้งคู่มีขนาดใหญ่กว่า 30000 ตัน แล่นด้วยความเร็ว 24 นอต (44.448 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) เป็นเรือแฝดรุ่นใหม่ของคูนาร์ด ล้ำหน้ากว่าเรือ 4 ลำของไวต์สตาร์ ทั้งด้านความเร็ว และขนาด ใน ค.ศ. 1907 หรือปีที่เรือแฝดคูนาร์ดออกบริการนั่นเอง บุคคลสำคัญของสายการเดินเรือไวต์สตาร์ได้ร่วมจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำที่บ้าน downshire Belgrave Square ในกรุงลอนดอน เพื่อร่วมกันคิดรูปแบบเรือลำที่ดีกว่าเรือแฝดคู่นั้น และนั่นก็เป็นสาเหตุในการต่อเรือไททานิก3 Postcard ของ เรือไททานิก หลัง RMS Mauretania เป็นเรือโดยสารใหญ่ที่สุดในโลกมาราว 4 ปี เรือลำแรกในโครงการต่อเรือ 3 ลำของไวต์สตาร์ไลน์ (เป็นการต่อเรือขนาดใหญ่ 3 ใบเถา เน้นรูปแบบการบริการของสายการเดินเรือที่หรูหราเป็นหลักความเร็วเป็นรอง) ชื่อ RMS Olympic สร้างเสร็จใน ค.ศ. 1911 มีขนาดใหญ่กว่าเรือ RMS Mauretania มากกว่า 40% ทำให้กลายเป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลก และต่อมา เรือลำที่สองในโครงการ ชื่อ RMS Titanic สร้างเสร็จใน ค.ศ. 1912 เป็นเรือโดยสารใหญ่ที่สุดในโลกแทนโอลิมปิก และเรือลำสุดท้ายของโครงการ ตอนแรกจะใช้ชื่อ อาร์เอ็มเอส ไจแกนติก หรือ อาร์เอ็มเอส ไกแกนติก (RMS Gigantic) แต่ว่า มันสร้างเสร็จใน ค.ศ. 1914 ภายหลังการล่มของไททานิก โดยคาดว่าจะใช้รับส่งผู้โดยสารเพื่อข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก แต่ก็เป็นแค่ความฝันเพราะตรงกับช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 พอดี ส่งผลให้ใน ค.ศ. 1915 มันถูกเปลี่ยนจากเรือสำราญเป็นเรือพยาบาล รับ-ส่ง ทหารในต่างแดนในคาบสมุทรเมดิเตอร์เรเนียน แทน และเปลี่ยนชื่อเป็น เอชเอ็มเอชเอส บริแทนนิก (HMHS Britannic) แม้บริแทนนิกจะใหญ่กว่าไททานิกกว่า 1,800 ตัน แต่บริแทนนิก ไม่มีโอกาสได้เป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะสายการเดินเรือฮาเป็ก (Hapag หรือ Hamburg Amerika Line) จากเยอรมนี ได้สร้างเรือ SS Imperator (RMS Berengaria ของสายการเดินเรือคูนาร์ด) ที่ใหญ่กว่าบริแทนนิก เสร็จก่อนบริแทนนิก แต่เป็นที่น่าเศร้าเพราะในปี 1916 เรือได้อัปปางลงในทะเลอีเจียน เนื่องจากโดนทุ่นระเบิดจากเรือดำน้ำฝ่ายเยอรมัน ที่ยังหลงเหลือจากการกู้ระเบิดในเส้นทางดังกล่าว จึงส่งผลให้เรือเสียหายหนักและอัปปางลงในระยะเวลา 55 นาที หลังการเดินทางเพียง 6 ครั้ง เท่านั้น ในการออกแบบขั้นต้นเรือทั้ง 3 ลำมีโครงสร้างคล้ายคลึงกัน และทั้งสามมีขนาดใหญ่กว่าเรือแฝดของคูนาร์ด ขับเคลื่อนด้วย 2 ใบจักร 2 เครื่องยนต์กระบอกสูบ แต่ต่อมาเพิ่มเครื่องยนต์เทอร์ไบน์อีกกลายเป็น 3 ใบจักร เนื่องจากเรือรุ่น 4 ลำก่อนมีเพียง 2 เครื่องยนต์สามารถทำความเร็วได้ต่ำ ในขนาดที่เรือคู่แข่งมี 4 เครื่องยนต์ เรือทั้งสามมีเสากระโดงเรือ 2 หรือ 3 แห่ง ปล่องไฟ 3 ปล่อง แต่ต่อมาเพิ่มเป็น 4 ให้เท่ากับจำนวนปล่องบนเรือ Mauretania และ Lusitania เพื่อให้เรือดูสมดุล (และหลอกว่ามีกำลังขับเคลื่อนสูง) โดย 3 ปล่องแรกจะไว้ใช้ระบายอากาศจากเครื่องยนต์ แต่ปล่องสุดท้ายไว้ใช้ระบายอากาศภายในเรือ ส่วนเรือไททานิกนั้น ก็มิได้ใหญ่โตถึงขนาดว่าไม่มีใครทำลายสถิติมันได้ลง ต่อให้มันไม่จม มันก็จะเสียตำแหน่งเรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในโลกให้กับ RMS Olympic เพราะภายหลังไททานิกจม ในปีเดียวกันนั้น มีการนำเรือโอลิมปิกไปต่อเติมซ่อมแซมจนมีขนาดใหญ่กว่าไททานิก 110 ตัน หลังจากนั้น ตำแหน่งเรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็เปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ จนในปัจจุบัน เรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นเรือแฝด 3 ลำ คือ MS Liberty of the Seas , MS Freedom of the Seas และ MS Independence of the Seas ซึ่งมีขนาดถึง 154,407 ตัน ใหญ่กว่าไททานิกถึง 3.333 เท่า แต่อย่างไรก็ตาม ไททานิกก็เป็นที่โดดเด่นในประวัติศาสตร์มากกว่า

9 Tanker Truck vs Bridge



วันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ.2006 รถยนต์คันหนึ่งชนเข้ากับรถบรรทุกที่บรรทุกน้ำมันมามากกว่า 32,000 ลิตร บนสะพาน Wiehltal Bridge ประเทศเยอรมนีรถบรรทุกได้ชนเข้ากับขอบทางของสะพานและร่วงลงมายังถนน A4 Autobahn ที่อยู่ต่ำกว่าประมาณ 90 ฟุต และเกิดระเบิดขึ้นผลของการระเบิดทำให้สะพานพังยับและโดนไฟไหม้ สูญเสียเงินไปเป็นมูลค่าทั้งหมด 358 ล้านเหรียญสหรัฐฯ 

8 MetroLink Crash 



ในวันที่ 12 กันยายน ค.ศ.2008 (เมื่อไม่นานมานี้เอง)เป็นหนึ่งในอุบัติเหตุเกี่ยวกับรถไฟที่รุนแรงที่สุดใน ประวัติศาสตร์ของแคลิฟอร์เนียมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 25 คน เมื่อรถรางชนเข้ากับรถไฟขนส่งสินค้าของบริษัท Union Pacific ในนคร Los Angeles สาเหตุอาจจะเกิดจากรถรางเคลื่อนที่ไปข้างหน้าในขณะที่ยังไม่ได้รับสัญญาณ อนุญาตให้ไปเพราะเนื่องจากยังความวุ่นวายในเรื่องของการให้สัญญาณอยู่ สูญเสียเงินไปทั้งหมดเป็นมูลค่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

7 B-2 Bomber Crash



เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2008 ที่ฐานทัพอากาศบนเกาะกวม สาเหตุอาจจะเกิดจากการขัดข้องของระบบขับเคลื่อน ของเครื่องบิน นักบินทั้ง 2 คนสามารถดีดตัวออกมาได้อย่างปลอดภัย แต่เครื่องบินนั้น พังยับ สูญเสียเงินไปทั้งหมดเป็นมูลค่า 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

6 Exxon Valdez



อุบัติเหตุ น้ำมันรั่วไหลกลางทะเล ของเรือ Exxon Valdez แม้อาจจะไม่ได้เป็นอุบัติเหตุน้ำมันรั่วไหลครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแต่ อุบัติเหตุนี้เกิดขึ้นบริเวณช่องแคบ Prince William ที่สามารถเข้ามาได้เฉพาะทางเฮลิคอปเตอร์และทางเรือเท่านั้น ในวันที่ 24 มีนาคมค.ศ.1989 น้ำมัน จำนวนกว่า 10.8 ล้านแกลลอนได้รั่วไหลออกมาจากสาเหตุที่กัปตันเรือที่ชื่อ Joseph Hazelwood ไม่ได้ควบคุมเรือจึงทำให้เรือชนเข้ากับแนวพืดหินปะการังใต้น้ำ สูญเงินไปทั้งหมดเป็นมูลค่า 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

5 Piper Alpha Oil Rig 



ในวันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ.1988 ได้เกิดระเบิดขึ้นที่แท่นขุดเจาะน้ำมันขนาดยักษ์นี้ขึ้นมา เนื่องจากสาเหตุจากความประมาทของคนควบคุมที่อยู่บนแท่นขุดเจาะมีผู้เสีย ชีวิต 167 คน สูญเงินไปกว่า 3.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

4 Challenger Explosion
 



เกิดขึ้นในวันที่ 28 มกราคม ค.ศ.1986 หลังจากยานอวกาศ Challenger ที่ถูกส่งขึ้นอวกาศไปได้เพียงแค่ 73 วินาทีเท่านั้นเหตุเกิดจากถังบรรจุไฮโดรเจนเหลวเกิดการระเบิดขึ้น สูญเสียเงินไปกว่า 450 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (เท่ากับ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปัจจุบัน)

3 Prestige Oil Spill 



ในวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ.2002 เรือบรรทุกน้ำมัน Prestige ได้บรรทุกน้ำมันจำนวน 77,000 ตันอุบัติเหตุเกิดขึ้นเมื่อถังน้ำมันถังหนึ่งในจำนวนทั้งหมด 12 ถังได้เกิดลุกไหม้ขึ้นระหว่างการเกิดพายุในเขตเมือง Galicia ประเทศสเปนหลังจากนั้น เรือได้หักครึ่งกลางและจมลงสู่ก้นมหาสมุทร และน้ำมันจำนวน 20 ล้านแกลลอนได้รั่วไหลออกสู่ทะเล สูญเงินในการขจัดน้ำมันออกไปทั้งหมด 12 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

2 Space Shuttle Columbia 



เกิดเหตุการณ์นี้เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2003 กระสวยอวกาศโคลัมเบียได้เกิดระเบิดขึ้น ทำให้ทาง American Institute of Aeronautics and Astronautics ได้ออกมาแถลงการณ์ว่า สูญเงินไปกว่า 13 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

1 Chernobyl อุบัติเหตุโรงปฏิกรณ์นิวเคลียร์เชอร์โนบิล



ในวันที่ 26 เมษายน ค.ศ.1986 ได้เกิดอุบัติเหตุที่มีความสูญเสียเป็นมูลค่ามากที่สุดในโลก หายนะของโรง ปฏิกรณ์นิวเคลียร์เชอร์โนบิล คือ การที่สารกัมมันตรังสีได้แพร่กระจายออกไปกว่าครึ่งของพื้นที่ประเทศยูเครน ประชาชนมากกว่า 200,000 คนต้องอพยพออกนอกพื้นที่ และต้องไปหาที่ตั้งรกรากใหม่ และมีประชาชนมากกว่า 1.7 ล้านคนได้รับผลกระทบที่ตามมาของสารกัมมันตรังสี มีประชาชนมากกว่า 125,000 คนต้องเสียชีวิตไปเนื่องจากติดเชื้อและเป็นมะเร็ง สูญเสียเงินในการกำจัดสารกัมมันตรังสีไปมากกว่า 200 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้สารกัมมันตรังสี ลอยออกไปปนเปื้อนทั้งในอากาศ แม่น้ำ ผืนดิน ทั่วทวีปยุโรปกว่า 3.9 ล้านตารางกิโลเมตร ทางการยูเครน เบลารุส และรัสเซียต้องอพยพประชาชนประมาณ 336,000 คนออกจากพื้นที่อันตรายโดยด่วน ความเสียหายในครั้งนั้นประเมินกันว่า มีความหายนะร้ายแรงกว่าการทิ้งระเบิดปรมาณูถล่มนางาซากิและฮิโรชิมาใน ญี่ปุ่น เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.2488 ถึง 200 เท่า ผลกระทบจากกัมมันตภาพรังสีที่แผ่ออกมา อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเชอร์โนบิลจะปิดตัวลงแล้ว แต่ก็ยังคงมีสารกัมมันตรังสีปนเปื้อนอยู่ในบรรยากาศ ทำให้ประชาชนอีก 5.5 ล้านคน ที่ยังคงอาศัยอยู่ในบริเวณนั้นได้รับผลกระทบจากภาวะกัมมันตภาพรังสี ที่แผ่ออกมาปนเปื้อนอยู่ จนหลายๆประเทศต่างหันมาทบทวนโยบานด้านนิวเคลียร์กันอย่างกว้างขวาง รวมทั้งมีการรวมกลุ่มจัดตั้งขึ้นมาเพื่อต่อต้านโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ด้วย 25 ปีผ่านไป หลังจาก หายนะเชอร์โนบิลเกิดขึ้นซ้ำที่ญี่ปุ่นอีกครั้งในปีนี้ 11 มี.ค.เกิดสึนามิครั้งใหญ่ จนวันต่อมา เตาปฏิกรณ์หมายเลข 1 ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ฟูกูชิมะ ไดอิจิ เกิดระเบิดขึ้น ลามไปยังเตาปฏิกรณ์หมายเลข 3 ซึ่งมียูเรเนียมอยู่จำนวนมาก ได้เกิดระเบิดขึ้นอีกเนื่องจากระบบหล่อเย็นไม่ทำงาน จนทางการญี่ปุ่นต้องเร่งอพยพประชาชนนับแสนคนที่อาศัย อยู่ภายในรัศมี 20 กิโลเมตรออกไป ซึ่งรายงานเบื้องต้นมีผู้บาดเจ็บ 4 ราย เสียชีวิต 1 ราย และสูญหายอีกจำนวนหนึ่ง แต่การระเบิดในครั้งนี้ ไม่มีความรุนแรงเท่ากับครั้งที่เกิดในเชอร์โนบิล


ที่มา  :  Toptenthailand