ผู้เขียน หัวข้อ: หลักการจัดการศึกษาของชุมชน  (อ่าน 7227 ครั้ง)

ออนไลน์ เลิศชาย ปานมุข

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3726
เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2015, 12:26:02 AM

ความหมายของการจัดการศึกษาของชุมชน

   ชุมชนเป็นสถานที่รวมของกลุ่มประชาชนที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน มีการติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันอย่างสม่ำเสมอ  ซึ่งสามารถกล่อมเกลาให้คนในชุมชนมีความเชื่อ อุดมการณ์และยึดถือในจริยธรรมอย่างเดียวกัน  คนในชุมชนจึงมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน และมีเอกลักษณ์ของตนเอง ลักษณะและเอกลักษณ์เหล่านี้แสดงออกให้เห็นได้จากความเชื่อ  ทัศนะและการประพฤติปฏิบัติของคนในชุมชนนั้น

   ชุมชนจะสื่อสารถ่ายทอดความเป็นเอกลักษณ์และลักษณะต่าง ๆ ผ่านคตินิยม  นิทาน  จารีตและขนบธรรมเนียมประเพณี  โดยถ่ายทอดจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง  คนหนึ่งไปยังกลุ่มคน  หรือจากกลุ่มคนหนึ่งไปยังอีกกลุ่มคนหนึ่ง  รวมทั้งจากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง  การถ่ายทอดลักษณะ ความเชื่อ  ขนบธรรมเนียมประเพณี  และวิธีการปฏิบัติเช่นนี้เป็นการให้การศึกษาของชุมชน  โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะรักษาชุมชนให้ดำรงอยู่สืบไปอย่างมั่นคงและเข้มแข็ง

   ดังนั้น การจัดการศึกษาของชุมชนจึงหมายถึง การสื่อสารถ่ายทอดความรู้  ความเชื่อ ค่านิยม  นวัตกรรม  วิธีการแก้ไขปัญหา  และการประพฤติปฏิบัติระหว่างบุคคลในชุมชนซึ่งทำให้คนในชุมชนมีลักษณะคล้ายคลึงกันและมีความสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่อง

เป้าหมายของการจัดการศึกษาของชุมชน

   การจัดการศึกษาของชุมชนมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดความเข้มแข็งของชุมชน ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถในการพึ่งพิงตนเองได้ทางเศรษฐกิจ  ความสามารถในการแก้ไขปัญหาของตนเอง  และการมีเอกลักษณ์และความยั่งยืนของชุมชน ดังนั้น  อาจกล่าวได้ว่า  เป้าหมายของการจัดการศึกษาของชุมชน คือ

1.ถ่ายทอดความรู้  ทักษะ  ภูมิปัญญา  ในการประกอบอาชีพและการดำรงชีวิตบนพื้นฐานของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของชุมชนนั้น

2.ถ่ายทอดความเชื่อและค่านิยมของชุมชน  และทำให้สมาชิกมีลักษณะคล้ายคลึงกัน  จนเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนนั้น ๆ  และทำให้คุณลักษณะเอกลักษณ์ของชุมชนได้สืบสานต่อเนื่องยั่งยืน

3.เป็นการเรียนรู้ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของสมาชิกในชุมชนในการแก้ไขปัญหาของตนเองและชุมชน  โดยใช้ภูมิปัญญาของตนเองได้


เนื้อหาสาระในการศึกษาชุมชนเพื่อจัดการศึกษาของชุมชน 

   ในการจัดการศึกษาของชุมชนจำเป็นต้องศึกษาเนื้อหาสาระของชุมชน  เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจในบริบทของชุมชนนั้นๆ  จนเกิดเป็นความรักความหวงแหนในท้องถิ่นชุมชนของตนเนื้อหาสาระดังกล่าวประกอบด้วย ภูมิหลังและประวัติของชุมชน สภาพทางกายภาพของชุมชน โครงสร้างของสังคม ประเพณีและวัฒนธรรมของชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่น และนวัตกรรมและการแก้ไขปัญหาของชุมชน

   1.ภูมิหลังและประวัติของชุมชน
   เป็นการศึกษาประวัติศาสตร์ ความเป็นมาชาติพันธุ์ของชุมชน เพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจและความหวงแหนในมรดกของชุมชน โดยการศึกษาประวัติการก่อตั้งชุมชน จากคำบอกเล่า  ตำนาน นิทานที่บอกเล่าประวัติความเป็นมาของท้องถิ่น  บันทึกหลักฐานทางโบราณคดี เช่น จดหมายเหตุ  พงศาวดาร โบราณสถาน  โบราณวัตถุในชุมชน  เป็นต้น

   2.สภาพทางกายภาพของชุมชน
   เป็นความรู้เกี่ยวกับสภาพทางภูมิศาสตร์และทรัพยากรของชุมชน ทำให้มีความรู้ความเข้าใจทรัพยากรธรรมชาติที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตของคนในชุมชน เช่น พื้นที่ของชุมชน   อาณาเขต   ลักษณะพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ แหล่งน้ำในชุมชน ทั้งแหล่งน้ำตามธรรมชาติและแหล่งน้ำที่สร้างขึ้น  การคมนาคม สาธารณูปโภค   ทรัพยากรธรรมชาติ   พืชพรรณไม้  สัตว์ป่า  เป็นต้น

   3.โครงสร้างของสังคม
เป็นการศึกษาเพื่อให้ทราบวิถีการดำเนินชีวิตของคนในชุมชน เช่น ระบบเครือญาติ   ระบบเศรษฐกิจ   การศึกษา    ศาสนา    การเมืองการปกครอง  ระบบความเชื่อ   ผู้นำในชุมชน   จำนวนประชากร  โครงสร้างของประชากร   อาชีพ   เป็นต้น
   
   4.ประเพณีและวัฒนธรรมของชุมชน
   เป็นการศึกษาความเชื่อ  ค่านิยม  และวิถีปฏิบัติที่มีคุณค่าที่ได้ถ่ายทอดต่อเนื่องกันมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน และประพฤติปฏิบัติอันเป็นการบำรุงรักษาสมาชิกในชุมชนให้ดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี ทำให้ชุมชนมีเอกลักษณ์และดำรงอยู่ได้ เช่น การแห่นางแมวเพื่อขอฝนของชุมชนในภาคกลางและภาคอีสาน การทำบุญเดือนสามไหว้พระพุทธชินราชของชาวภาคเหนือตอนล่าง ประเพณีงานบุญยี่เป็งของชาวภาคเหนือ  เป็นต้น     

   5.ภูมิปัญญาท้องถิ่น
   เป็นนวัตกรรมและวิธีการแก้ไขปัญหาที่ได้ผลที่ชุมชนใช้ในการดำรงชีวิต นับตั้งแต่การประกอบอาชีพ  การติดต่อสัมพันธ์กัน ได้แก่ วิธีการต่างๆที่บุคคลในท้องถิ่นนำมาใช้ในการประกอบอาชีพ การดำเนินชีวิตประจำวันจนประสบผลสำเร็จเป็นที่ยอมรับ  เช่น  การทำนาน้ำตม   การทำนาหว่าน   การปลูกพืชไร่นาสวนผสม  การใช้พืชสมุนไพรเป็นยารักษาโรค   หรือภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เป็นคำอบรมสั่งสอน  เช่น   ?เรือนสามน้ำสี่?  ที่ใช้อบรมกุลสตรีไทยมาแต่โบราณ   ?ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า?  ที่ใช้อบรมสั่งสอนวิธีการครองชีวิตคู่ เป็นต้น  รวมทั้งภูมิปัญญาที่สืบทอดต่อกันมาในลักษณะของวัตถุ สิ่งก่อสร้าง ได้แก่ เครื่องปั้นดินเผา เตาเผาถ้วยชามสังคโลก รูปปั้นฤาษีดัดตนวัดโพธิ์ และภาพเขียนฝาผนังในโบสถ์ วิหารตามวัดต่าง ๆ

   6.นวัตกรรมและการแก้ไขปัญหาของชุมชน
   เป็นประสบการณ์ของบุคคลที่ใช้แก้ปัญหาโดยใช้นวัตกรรมและวิธีการทั้งใหม่และเก่าจนสามารถแก้ไขปัญหาได้  เป็นการผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นทั้งเก่าและใหม่เข้าด้วยกันในการแก้ไขปัญหา  เช่น การทำนาด้วยวิธีเกษตรกรรมธรรมชาติของพ่อคำเดื่อง  ภาษี  จังหวัดบุรีรัมย์ การทำเกษตรธรรมชาติแบบผสมผสานครบวงจรของผู้ใหญ่วิบูลย์   เข็มเฉลิม  จังหวัดฉะเชิงเทรา    ครูชุบ  ยอดแก้ว จังหวัดสงขลาที่ริเริ่มจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจของคนในชุมชน  เป็นต้น
   การศึกษาค้นคว้าเพื่อให้ได้ข้อมูลเนื้อหาสาระที่นำมาใช้ในการจัดการศึกษาของชุมชนนั้น  ทำได้โดยการสัมภาษณ์ผู้รู้ ผู้นำในชุมชน ติดต่อหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อรวบรวมเอกสารข้อมูลที่ต้องการ  การสำรวจสภาพพื้นที่  และการสังเกต เป็นต้น

วิธีการจัดการศึกษาของชุมชน

   การจัดการศึกษาของชุมชนสามารถทำได้ต่อไปนี้

   1.การใช้บทบาทของสถาบันทางสังคม
   เป็นการถ่ายทอดการเรียนรู้ตามบทบาทหน้าที่ของสถาบันทางสังคมในชุมชน ประกอบด้วย วัด  องค์กรชุมชน  ครอบครัว  และโรงเรียน โดยวัดจะถ่ายทอดคุณธรรมจริยธรรมให้แก่บุคคลในชุมชน  และเป็นแหล่งรวมในการทำกิจกรรมและพิธีกรรมทางศาสนา รวมทั้งการเรียนรู้ของชุมชน องค์กรชุมชนจะดูแลเรื่องประเพณีและวัฒนธรรม พร้อมทั้งเผยแพร่ข่าวสารต่างๆ เช่น ข่าวสารทางราชการ สาธารณสุข  ข่าวการเกษตร ข่าวการเมืองการปกครอง   เป็นต้น  ส่วนครอบครัวจะรับผิดชอบการ อบรมสั่งสอนในเบื้องต้น การถ่ายทอดด้านการประกอบอาชีพ ฝึกทักษะด้านอาชีพและค่านิยม  สำหรับโรงเรียนจะเป็นแหล่งเตรียมตัวสมาชิกใหม่ของสังคม  มีบทบาทที่สำคัญในการปลูกฝังความรู้  ทักษะ  และเจตคติในด้านต่าง ๆ

   2.การใช้นิทานและคติความเชื่อ
   เป็นการถ่ายทอดคติความเชื่อและปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมด้านต่าง ๆ  เช่น  ความซื่อสัตย์  ความขยัน  ความอดทน  ความกตัญญู  ให้แก่คนในสังคมโดยผ่านนิทาน  คติความเชื่อที่สะท้อนการเป็นเอกลักษณ์ของสังคม ซึ่งรวบรวมได้จากคำบอกเล่าของบุคคลในชุมชน  เช่น นิทานเรื่องกล่องข้าวน้อยฆ่าแม่ เรื่องพญากงพญาพาน เป็นนิทานสอนเรื่องความกตัญญู   เป็นต้น

   3.การใช้ขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่น
   เป็นการศึกษาและฟื้นฟูขนบธรรมเนียมประเพณีในท้องถิ่น   ความเข้าใจ แปลความหมายในบริบทของสังคมใหม่ แล้วนำมาประพฤติปฏิบัติ ตัวอย่างเช่น ประเพณีการทำขวัญข้าว ซึ่งเป็นประเพณีปฏิบัติของชุมชนประกอบอาชีพเกษตรกรรม  ต่อมาได้สูญหายไปในบางแห่ง ควรจะศึกษาวิธีการปฏิบัติ ความสำคัญ ความหมายของพิธีกรรมเพื่อเรียนรู้  ถ้ายังเป็นประเพณีที่มีความหมายก็อาจฟื้นฟูใหม่ได้ จะเห็นได้ว่าในชุมชนท้องถิ่นต่างก็มีวัฒนธรรมประเพณีของตนเอง  สิ่งเหล่านี้ล้วนมีคุณค่าและมีความหมายต่อการดำรงอยู่ของชุมชนในอดีต บางอย่างยังคงความหมายสืบต่อถึงปัจจุบัน ถ้ามีการศึกษาและทำความเข้าใจ  อาจทำให้ชุมชนสามารถอนุรักษ์สิ่งที่มีคุณค่าไว้ได้

   4.การใช้วัฒนธรรมการประพฤติปฏิบัติ
   เป็นการใช้จารีตประเพณีที่คนในชุมชนยึดถือ มาทำความเข้าใจ แปลความหมายใหม่ แล้วนำมาเผยแพร่ปฏิบัติ ตัวอย่างเช่น การนับถือผี  การเซ่นไหว้บรรพบุรุษ การไว้ผมจุกของเด็กไทย  การแต่งชุดไทย  เป็นต้น

        เป้าหมายสำคัญของการจัดการศึกษาของชุมชน ก็คือความเข้มแข็งของชุมชน ซึ่งความเข้มแข็งของชุมชนจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อชุมชนนั้นสามารถพึ่งตนเองได้ สามารถจัดการกับปัญหาของตนเองได้ ชุมชนจะทำได้นั้นชุมชนต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญ ประกอบด้วย อุดมการณ์ความเชื่อ  ความสามารถในการประกอบอาชีพ  ความรู้และภูมิปัญญาในการดำรงชีวิต  ทรัพยากรที่ใช้ในการประกอบอาชีพและการดำรงชีวิต และมีโครงสร้างในการบริหารจัดการ เรื่องต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ กรอบความคิดนี้นำมาใช้กำหนดแนวทางในการจัดการศึกษาชุมชนได้เป็นอย่างดี

การจัดการศึกษาของชุมชนตามแนวพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ  พ.ศ. 2542

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ  พ.ศ. 2542 ได้เสนอแนวทางในการจัดการศึกษาของชุมชนไว้ดังนี้

1.ถ่ายทอดจุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษา ไว้ในมาตรา 7 ว่า จะต้องมุ่งให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง  ภาคภูมิใจในความเป็นไทย  รู้จักรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมส่งเสริมการเรียนรู้วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นและของไทยควบคู่ไปกับความรู้สากล  มีความสามารถในการประกอบอาชีพ  พึ่งตนเองได้  แสดงว่าการศึกษาที่จัดขึ้นจะต้องอยู่บนองค์ความรู้และภูมิปัญญาของชุมชน บนพื้นฐานทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของชุมชน จนชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้

2.ยึดถือหลักการจัดการศึกษาตลอดชีวิต  กล่าวคือ  การเรียนรู้ของบุคคลจะเกิดขึ้นตลอดเวลานับตั้งแต่เกิดจนตาย  เนื้อหาสาระที่เรียนรู้จะเกิดขึ้นเสมอและต่อเนื่อง  ดังนั้น  ชุมชนจะต้องมีส่วนเข้าไปมีบทบาทการจัดการเรียนรู้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ชุมชนจึงมีบทบาทในการจัดการศึกษาของคนในชุมชนตลอดเวลา

3.จัดการศึกษาโดยยึดถือหลักการที่จะระดมทรัพยากรทุกอย่าง  โดยการมีส่วนร่วมของบุคคล  ครอบครัว  ชุมชน  องค์กรชุมชน  และองค์การต่าง ๆ  จึงจะเป็นแนวทางที่ทำให้เกิดการจัดการศึกษาของชุมชนได้

4.จัดการศึกษาโดยกระจายอำนาจในการจัดการศึกษาให้กับชุมชนท้องถิ่น ดังนั้น ชุมชนท้องถิ่นจึงมีภาระที่จะต้องจัดการศึกษาให้กับสมาชิกในชุมชนของตนเองอย่างต่อเนื่อง

   สรุปได้ว่า พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เป็นกฎหมายที่เน้นการจัดการศึกษาของชุมชน ชุมชนจะต้องรับผิดชอบจัดการศึกษา รวมทั้งเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาและระดมทรัพยากรต่างๆ  มาช่วยการจัดการศึกษา การจัดการศึกษาจะต้องจัดสาระการเรียนรู้ที่จะสร้างให้คนในชุมชนพึ่งตนเองได้  และสามารถอนุรักษ์และพัฒนาภูมิปัญญาของท้องถิ่น


ที่มา  :  คัดลอกจากชุดฝึกอบรมครู ในหัวข้อหลักการจัดการศึกษาในชุมชน
ของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สรรค์  วรอินทร์