ผู้เขียน หัวข้อ: พัฒนาการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ ออกแบบกิจกรรม กระตุ้นตัวตนเด็ก  (อ่าน 571 ครั้ง)

ออนไลน์ เลิศชาย ปานมุข

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3726
สมรรถนะของผู้เรียนมีความสำคัญอย่างไร? ดูจะเป็นคำถามที่สถานศึกษาทุกแห่ง ต้องให้ความสำคัญในช่วงนี้  เพราะต้องร่วมกันคิด วางแผน และหาแนวทางในการปฏิบัติ เพื่อทำให้เกิดสมรรถนะของผู้เรียนด้านต่างๆ ตามที่ต้นสังกัดอย่างกระทรวงศึกษาธิการกำหนด

แม้หลักสูตรฐานสมรรถนะ จะนำร่องในบางสถานศึกษาในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา แต่ครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกท่าน ก็ควรทำความเข้าใจกับนโยบายในการส่งเสริมสมรรถนะเช่นกัน  “ผศ.อรทัย อินตา” หัวหน้าภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ช่วยไขขอข้องใจว่า การศึกษาไทยควรพัฒนาผู้เรียนฐานสมรรถนะ เนื่องด้วยการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับเด็กยุคใหม่ ควรเน้นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ได้ลงมือปฏิบัติจริง  เรียนรู้ผ่านการเล่นการกระทำตามความถนัด ความชอบ  และเมื่อเด็กต้องอยู่ในสถานการณ์อื่น เขาจะสามารถนำประสบการณ์จากการปฏิบัติจริงนั้นมาใช้กับสถานการณ์นั้นได้   ซึ่งนั่นหมายถึง  สมรรถนะที่เกิดขึ้นนั่นเอง   

หลักสูตรเดิมที่ใช้ในสถานศึกษา  ก็สามารถส่งเสริมให้เกิดสมรรถนะได้โดยกิจกรรมที่ครูออกแบบให้ควรเป็นกิจกรรมที่เน้นการปฏิบัติผ่านสถานการณ์ที่อยู่ใกล้ตัวเด็ก    เพียงแต่มีข้อจำกัดหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นขอบข่ายเนื้อหา  รายวิชาที่กำหนดให้เรียนมีค่อนข้างมากทั้งรายวิชาพื้นฐานและรายวิชาเพิ่มเติม ประกอบข้อจำกัดทางด้านการบริหารจัดการ   จึงอาจทำให้ไม่สามารถทำให้ครูออกแบบการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการหลักสูตรร่วมกันเพื่อทำให้เด็กเกิดกระบวนการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำจริง เพื่อให้เกิดทั้งทักษะ ความรู้ และคุณลักษณะ ซึ่งส่งผลให้เกิดสมรรถนะตามศักยภาพของเด็ก

การพัฒนาเด็กให้เกิดสมรรถนะ  และการจัดการเรียนรู้เชิงรุกหรือ Active Learning  เป็นสิ่งเดียวกันหรือไม่    การพัฒนาเด็กให้เกิดสมรรถนะ เปรียบเหมือนเป้าหมายหลัก  ส่วนการจัดการเรียนรู้เชิงรุกหรือ Active Learning  เปรียบเหมือนเส้นทางหรือวิธีการที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะ     ในมุมมองนั้นการจัดการเรียนรู้เชิงรุกไม่ใช่เรื่องใหม่เลย  เพราะแต่เดิมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีนั้นควรส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้ผ่านการกระทำ หรือ Learning by Doing    ต่อมาก็เน้นการเรียนรู้ที่มุ่งเด็กเป็นสำคัญหรือ Child Center  สำหรับแนวทางที่ปรับเปลี่ยนไปแต่ละช่วงนั้น ก็ถือเป็นวิธีการที่จะกระตุ้นให้เห็นความสำคัญของการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เกิดประสบการณ์ ผ่านการปฏิบัติหรือผ่านกิจกรรมที่เด็กมีส่วนร่วม  ซึ่งเป้าหมายหลักก็เพื่อให้เด็กเกิดสมรรถนะนั่นเอง

เมื่อสะท้อนถึงเด็กในปัจจุบัน  เด็กยุคใหม่สามารถเข้าถึงองค์ความรู้ต่าง ๆ ได้ง่าย หากคุณครูยืนสอนหน้าชั้นเรียน สอนบนกระดานแบบเดิม ๆ ไม่ได้ออกแบบการเรียนรู้ให้เด็กได้เกิดความอยากรู้ อยากทำ ผ่านการค้นหาคำตอบด้วยตัวผู้เรียนเอง  สมรรถนะก็ไม่มีทางเกิดขึ้นแก่พวกเขา   แนวโน้มในการพัฒนาเด็กไม่ว่าจะเป็นไทยหรือต่างชาติ ล้วนส่งเสริมให้ผู้เรียนมีสมรรถนะ   ซึ่งในบางประเทศกำหนดทักษะสำหรับในการพัฒนาเยาวชนของประเทศ ซึ่งทักษะที่กำหนดนั้นเป็นนิยามเดียวกับสมรรถนะ  โดยกำหนด  Soft Skill  เพื่อให้เด็กมีทักษะสำคัญในการใช้ชีวิตในสังคม และ Hard Skill ของแต่ละอาชีพ สำหรับ Soft Skill  ดูเหมือนจะเป็นจุดเน้นสำคัญในการพัฒนาเพราะหากมี Soft Skill  ก็จะส่งเสริมให้เกิด Hard Skill    ทั้งนี้ Hard Skills  บางอย่าง AI หรือปัญญาประดิษฐ์สามารถทำแทนได้  ดังนั้นจึงควรส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริงในสถานการณ์ที่หลากหลายเพื่อให้เกิดทั้ง Soft Skill และ Hard Skill  ให้พวกเขาปรับตัว อยู่รอดในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงได้

หลักสูตรมีความสำคัญไหม ที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะ  หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551  จัดเป็นหลักสูตรอิงมาตรฐาน มีการกำหนดมาตรฐานการเรียนรู้ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้  และกำหนดตัวชี้วัดในแต่ละมาตรฐาน   ส่วนหลักสูตรที่เป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะ  มีการกำหนดสมรรถนะหลัก และผลลัพธ์การเรียนรู้ช่วงชั้นให้  โดยสถานศึกษาจะกำหนดผลลัพธ์การเรียรู้ชั้นปีในแต่ละรายวิชา  ซึ่งสามารถนำตัวชี้วัดในหลักสูตรแกนกลางเดิมมาสังเคราะห์ให้เป็นผลลัพธ์การเรียนรู้ชั้นปีในแต่ละวิชาได้ โดยในผลลัพธ์การเรียนรู้ชั้นปีมาจากการหลอมรวมเอาความรู้ คุณลักษณะ ทักษะ และสมรรถนะสำคัญ    จากวิธีการพัฒนาหลักสูตรดังกล่าวจะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันบ้าง  แต่ก็สามารถใช้หลักสูตรเดิมเพื่อกำหนดเป็นหลักสูตรใหม่ที่เป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะได้       

แม้ว่าสถานศึกษาจะมีรูปเล่มหลักสูตรฐานสมรรถนะ  แต่หากกระบวนการนำไปใช้ยังไม่มีการปรับเปลี่ยนแน่นอนว่าเด็กย่อมไม่เกิดสมรรถนะ  ในทางกลับกันหากใช้หลักสูตรเดิมแต่กระบวนการนำไปใช้มีการส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านการปฏิบัติ ในสถานการณ์ที่หลากหลายให้เด็กเกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ได้รับประสบการณ์ตรงให้มากที่สุดย่อมจะทำให้เกิดสมรรถนะกับเด็ก   ดังนั้นปัจจัยสำคัญที่สุดคือกระบวนการนำหลักสูตรไปใช้   โดยอาจมีหลายความคิดแย้งว่างั้นก็ไม่ต้องทำหลักสูตรฐานสมรรถนะก็ได้     ซึ่งหลักสูตรเป็นแนวทางในการจัดประสบการณ์ให้แก่เด็ก   ดังนั้นหากปรับหลักสูตรสถานศึกษาให้เป็นหลักสูตรฐานสมรรนถะ  ผู้บริหารและครูก็จะมีแนวทางที่ง่ายหรือชัดเจนในการนำไปใช้นั่นเอง

แนวทางการนำหลักสูตรไปพัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะ  ปัจจัยสำคัญคือผู้บริหารและครู  ผู้บริหารต้องเป็นผู้นำทางวิชาการกล้าคิดกล้าเปลี่ยนแปลง    มีเวทีให้ครูแต่ละรายวิชาแต่ละระดับชั้นได้คิดได้คุยกัน ร่วมกันวางแผนให้มากขึ้น อาจจะทุกวันหรือทุกสัปดาห์ หรือที่เรียกว่าการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้   การบูรณาการรายวิชาผ่านกิจกรรมเน้นการปฏิบัติในเรื่องใกล้ตัวหรือที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน    ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะส่งเสริมให้เด็กเกิดสมรรถนะ  เช่น การให้เด็กมัธยมทำอาหารจานเดียวจากวัตถุดิบในท้องถิ่น   หากมีการวางแผนร่วมกันระหว่างครูในรายวิชาต่าง  ๆ เด็กจะสามารถเรียนรู้ได้ทั้งเรื่องของวัตถุดิบที่อยู่ในท้องถิ่น ซึ่งสัมพันธ์กับวิชาเกษตร ชีววิทยา และภูมิศาสตร์  คุณค่าทางโภชนาการ  ซึ่งสัมพันธ์กับเคมี   ปริมาณ การชั่งตวงวัด รูปร่าง รูปทรงของอุปกรณ์  แรง  กำลังไฟ  ซึ่งสัมพันธ์กับคณิตศาสตร์ และฟิสิกส์  เป็นต้น  กิจกรรมนี้มุ่งให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการทำอาหารและเกิดการเรียนรู้ที่หลากหลาย  หากครูจัดประสบการณ์เหล่านี้ให้บ่อย ๆ หรือมอบหมายให้เด็กได้นำไปปฏิบัติเพิ่มอีกก็จะส่งเสริมให้เกิดสมรรถนะ    ทั้งนี้กิจกรรมจะไม่สำเร็จตามที่คาดหวังเลย  หากไม่มีการเปิดโอกาสให้ครูได้วางแผนร่วมกัน   

สิ่งสำคัญคือปรับวิธีคิด วิธีปฏิบัติ  ตอนนี้หมดยุคให้เด็กเรียนผ่านกระดานในเรื่องที่ไกลตัว  ที่เด็กคิดว่าเรียนไปก็ไม่ได้ใช้ จึงขาดความมุ่งมั่นตั้งใจ   สำหรับครูการเป็นเจ้าของศาสตร์หรือรายวิชาที่มุ่งสอนเฉพาะรายวิชาของตนก็ต้องปรับวิธีการคิดเช่นกัน    ซึ่งผู้บริหารโรงเรียน ครู เขตพื้นที่การศึกษา ศึกษานิเทศก์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  ต้องร่วมกันออกแบบหลักสูตรให้เหมาะสมกับผู้เรียน ความต้องการของชุมชนและสังคมซึ่งทุกหน่วยงานต้องทำร่วมกัน

อุปสรรคสำคัญที่ทำให้การพัฒนาการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเกิดขึ้นได้ยาก  คือ   การขาดการขับเคลื่อนโดยผู้บริหาร     ครูที่ต้องรับผิดชอบงานอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากการสอนมากเกินไป   ประกอบกับความเข้าใจและนโยบายจากหน่วยงานต้นสังกัด และที่สำคัญของการพัฒนาการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ คือ การยกระดับการพัฒนาสมรรถนะทั้งระบบไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะ  การจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ  และการวัดและประเมินผลฐานสมรรถนะ   ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ที่ทุกฝ่ายต้องทำความเข้าใจ ร่วมเรียนรู้ ร่วมส่งเสริม   หากหวังให้สำเร็จในระยะแรกแบบพลิกโฉมนั้นอาจเป็นไปได้ยาก  แต่หากค่อย ๆ เรียนรู้  ค่อย ๆ ปรับ อาจเป็นแนวทางที่เหมาะสมในช่วงเวลานี้

สำหรับหน้าที่ของการผลิตครูในสถาบันอุดมศึกษา  สิ่งที่ต้องเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาเพื่อให้สามารถเป็นบุคลากรของทางสถานศึกษาที่คุณภาพในอนาคต  คือ การฝึกให้นักศึกษาได้เรียนรู้และมีประสบการณ์ในการออกแบบหลักสูตรที่หลากหลายโดยเฉพาะหลักสูตรฐานสมรรถนะ   ให้มีประสบการณ์ในการจัดการเรียนรู้รูปแบบต่าง ๆ  ที่เน้น Active Learning เพื่อส่งเสริมสมรรถนะ  พัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงวัย และให้เด็กได้พัฒนาศัยภาพของตนอย่างเต็มที่     และให้นักศึกษามีประสบการณ์ในการวัดและประเมินผลตามสภาพจริงรอบด้าน เพื่อพัฒนาเด็กและกระบวนการจัดการเรียนรู้ของตน     โดยการจัดให้นักศึกษามีประสบการณ์เหล่านี้ก็จำเป็นต้องพึงพาสถานศึกษาต่าง ๆ  ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญในการพัฒนาครูคุณภาพต่อไป   ส่วนคณาจารย์ก็จำเป็นต้องร่วมเรียนรู้ร่วมพัฒนาไปพร้อมกับสถานศึกษาเช่นกัน

“ผศ.อรทัย อินตา” หัวหน้าภาควิชาหลักสูตรและการสอน

ครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่

ที่มา https://www.starfishlabz.com/blog/1057