ผู้เขียน หัวข้อ: เรียนรู้จาก BBL สู่ STEM พัฒนาผู้เรียนแบบองค์รวม  (อ่าน 1981 ครั้ง)

ออฟไลน์ เลิศชาย ปานมุข

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3740
เนื่องจากปัจจุบันภาครัฐให้ความสำคัญกับการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับพัฒนาการของสมองเด็กแต่ละช่วงวัยสถาบันนานมีบุ๊คส์อินโนเวชั่นจึงจัดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ "เครื่องมือจัดการเรียนรู้แบบ BBL (Brain-Based Learning) สู่ STEM เพื่อสร้าง Active Citizen" พร้อมกับแนะนำแนวทางการสอนปฐมวัยอย่างไร เพื่อพัฒนาผู้เรียนอย่างเต็มศักยภาพ

โดยมี "คิม จงสถิตย์วัฒนา" กรรมการผู้จัดการ สถาบันนานมีบุ๊คส์อินโนเวชั่น และ "ดร.เทพกัญญา พรหมขัติแก้ว" นักวิชาการสาขาวิทยาศาสตร์ประถมศึกษา สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) มาร่วมพูดคุย

เบื้องต้น "คิม" ฉายภาพให้ฟังก่อนว่านานมีบุ๊คส์ฯทำเรื่องการจัดสัมมนาเกี่ยวข้องกับการศึกษามาตลอด 24 ปี แต่ละปีจัดขึ้นประมาณ 20-30 ครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นครั้งพิเศษ เพราะว่าเป็นการตอบโจทย์ข้อสงสัยของโรงเรียนอนุบาล โดยวันนี้มีครูให้ความสนใจเข้าร่วมงานกว่า 300 คน จาก 102 โรงเรียนทั่วประเทศ เรามุ่งหวังว่าผู้สอนจะสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้พัฒนาศักยภาพผู้เรียนแบบองค์รวม เพื่อสร้าง Active Citizen (พลเมืองที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม มีความรู้ และแสดงออกถึงความเป็นพลเมืองที่มีความกระตือรือร้น)
 
"ปรัชญาของนานมีบุ๊คส์ฯในการสร้าง Active Citizen มี 7 ข้อดังนี้ มีจิตสำนึกพลเมืองดี, คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาได้, มีภาวะผู้นำ, คิดสร้างสรรค์นอกกรอบ, ใส่ใจสิ่งแวดล้อม, สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ และมีทักษะในการประกอบอาชีพ ซึ่งจุดเด่นของเราคือ มีหนังสือคุณภาพจากทั่วโลก และแผนการสอนจำนวนมาก"
 
ดังนั้น นอกจากการผลิตสื่อการเรียนการสอน เราจึงให้ความสำคัญกับแผนการเรียนการสอนด้วย เพราะเราพบว่าส่วนใหญ่เมื่อครูได้หนังสือไป แต่ไม่รู้จะใช้อย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และควรมีแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่คำนึงถึง Brain-Based Learning ผนวกกับการเรียนรู้แบบ STEM Education ที่จะช่วยปลูกฝังทักษะการเรียนรู้ที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับชีวิตประจำวันของผู้เรียน ให้ครบทั้ง 4 ด้าน คือ ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ และสังคม

โดยนานมีบุ๊คส์ฯ เสนอ 2 ทางเลือก กับการจัดการเรียนรู้แบบ BBL สู่ STEM เพื่อสร้าง Active Citizen คือ

สถานีที่ 1 : จัดการเรียนรู้ผ่าน 5 สถานีของ Kiddy Intelligence Center เป็นแหล่งเรียนรู้ในโรงเรียน ที่ประกอบด้วย สถานี 1 ขบวนรถไฟรักการอ่าน ช่วยพัฒนาทักษะ ฟัง พูด อ่าน เขียน เปิดโลกจินตนาการ และเดินทาง ไปกับเรื่องราวแสนมหัศจรรย์ในหนังสือส่งเสริมการเรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวละครที่สะท้อนสู่ชีวิตของเด็กและจัดกิจกรรมบูรณาการเพื่อจุดประกายจากการอ่าน
 
สถานีที่ 2 : ขยับร่างกาย พัฒนาระบบการประมวลผลรับความรู้สึก พัฒนา Sensory Integration เด็ก ๆ จะได้เล่น และสนุกกับสื่อ We Play ซึ่งเป็นชุดอุปกรณ์ที่ช่วยพัฒนาระบบรับความรู้สึก การทรงตัว กล้ามเนื้อมัดเล็ก มัดใหญ่ เอ็น และข้อต่อ ซึ่งจะทําให้เด็กมีความสามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้อย่างเหมาะสม
 
สถานีที่ 3 : 6Q UP อัจฉริยะปั้นได้ พัฒนาทักษะการคิด และทักษะทางคณิตศาสตร์ เด็กเก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเอง และแสดงออกอย่างเหมาะสม กิจกรรมในสถานีนี้พัฒนาความฉลาด 6 ด้าน คือ ความฉลาดทางสติปัญญา (IQ : Intelligence Quotient) ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ : Emotional Quotient) ความฉลาดในการริเริ่มสร้างสรรค์ (CQ : Creativity Quotient) ความฉลาดทางศีลธรรม จริยธรรม (MQ : Moral Quotient) ความฉลาดที่ได้จากการเล่น (PQ : Play Quotient) และความฉลาดในการแก้ไขปัญหา (AQ : Adversity Quotient)
 
สถานีที่ 4 : วิทยาศาสตร์ ช่วยให้เข้าใจธรรมชาติ และวิทยาศาสตร์ด้วยการลงมือทดลอง กิจกรรมทดลองที่เหมาะกับเด็ก 3-6 ขวบที่สอดคล้องกับเหตุการณ์ในชีวิตประจําวัน ซึ่งจะส่งเสริมให้เด็กฝึกการสังเกต และค้นหาคําตอบด้วยตัวเอง เป็นการปลูกฝังให้เด็กรักวิทยาศาสตร์ตั้งแต่เด็ก
 
สถานีที่ 5 : ศิลปะ ช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ และฝึกการเชื่อมโยงผ่านงานศิลปะ และงานประดิษฐ์ ส่งเสริมให้เด็กมีความสุข และความจรรโลงใจ โดยการถ่ายทอดความรู้ทั้ง 4 สถานีผ่านงานศิลปะ
 
ทางเลือกสอง ถ้าโรงเรียนมีหนังสืออยู่แล้ว และไม่ต้องซื้ออะไรใหม่ ก็สามารถจัดการเรียนรู้ด้วยหนังสือ และสื่อเสริมพัฒนาการ 3 ขั้นตอน คือ การสร้างแรงบันดาลใจให้อยากเรียนรู้ด้วยนิทาน ตั้งคำถามชวนให้เด็กสงสัย, ตอบข้อสงสัยผ่านเนื้อหา และแผนภาพด้วยหนังสือเสริมความรู้ และชักชวนลงมือทดลองทำด้วยตนเอง ผ่านหนังสือกิจกรรม และสื่อส่งเสริมพัฒนาการ

ถึงตรงนี้ "ดร.เทพกัญญา" จึงกล่าวเสริมว่า Brain-Based Learning หรือการเรียนรู้ที่เอาสมองของคนเป็นฐาน คือการจัดการเรียนรู้เพื่อให้สอดคล้องกับพัฒนาการของสมองของคนในแต่ละช่วงวัย เพราะจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้มาจากการที่สมองเริ่มทำงานตอบสนองต่อสิ่งเร้า และสิ่งกระตุ้น โดยสมองจะทำการประมวลผล เชื่อมโยงกับความรู้ที่มี

"ดังนั้น เราควรจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับการทำงานของสมอง เพื่อให้สมองเกิดกระบวนการคิดที่เป็นระบบ และเป็นขั้นตอน โดยใช้นวัตกรรมหรือวิธีการสอนเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งสมองจะทำงานได้ดีกว่าเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เรียนรู้ได้ดีกว่าเมื่อสมองรู้สึกผ่อนคลาย จึงควรสร้างบรรยากาศให้เด็กสนุกกับการเรียนรู้ ไม่กดดัน ผ่านกิจกรรมที่ท้าทายและชวนค้นหาคำตอบ สร้างการจดจ่อในสิ่งเดียวกันด้วยการเรียนรู้ที่สัมพันธ์กับการตระหนักและการจดจ่อที่จะเรียนรู้ของผู้เรียนและจัดประสบการณ์ที่เป็นกระบวนการอย่างกระตือรือร้นโดยให้ผู้เรียนลงมือทดลองประดิษฐ์ หรือเล่าประสบการณ์ที่เกิดจากการเรียนรู้"

Brain-Based Learning เป็นกระบวนการการเรียนรู้ ที่ส่งผลให้การเรียนเนื้อหาต่าง ๆ อย่างเช่น STEM ซึ่งเป็นการโฟกัส 4 สาขาวิชา ได้แก่ วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) มีประสิทธิภาพมากขึ้น
 
"เพราะธรรมชาติของ 4 วิชานี้เป็นวิชาที่ใช้สมองคิดขั้นสูง โดยในระดับปฐมวัย STEM เป็นเครื่องมือในการปลูกฝังทักษะการเรียนรู้ นั่นคือรู้จักสังเกต รู้จักตั้งคำถาม ค้นหาคำตอบ ทักษะสังคม ทักษะการสื่อสาร พัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่มัดเล็ก เพื่อให้เด็ก ๆ เกิดความสนใจและเข้าใจพื้นฐานของสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว"

นับเป็นสัมมนาทางวิชาการที่จะช่วยให้ครูเข้าใจถึงแนวคิดและเครื่องมือในการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการBBL สู่ STEM จนสามารถนำไปพัฒนาผู้เรียนได้อย่างเต็มศักยภาพ
แหล่งที่มา :

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1457593382