ครูเลิศชาย ปานมุข

บทความดีดี => บทความดีดี คำคม ข้อคิดในการดำเนินชีวิต => ข้อความที่เริ่มโดย: เลิศชาย ปานมุข ที่ ตุลาคม 02, 2016, 11:13:26 PM

หัวข้อ: นิทานสอนใจ ล้างมือให้แม่
เริ่มหัวข้อโดย: เลิศชาย ปานมุข ที่ ตุลาคม 02, 2016, 11:13:26 PM
ชายหนุ่มคนหนึ่งเพิ่งจบการศึกษาด้วยผลการเรียนดีเยี่ยม ไปสมัครงานในตำแหน่งผู้จัดการบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งหลังจากผ่านการสอบสัมภาษณ์ครั้งแรกไปแล้ว ผู้อำนวยการได้เรียกเขาไปสัมภาษณ์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนตัดสินใจผู้อำนวยการ เห็นข้อมูลในประวัติของเด็กหนุ่มคนนี้ว่ามีผลการเรียนเป็นเลิศในทุกวิชาตลอด มานับตั้งแต่อุดมศึกษาจนจบมหาวิทยาลัย ไม่ปรากฏว่ามีคะแนนในวิชาใดที่ต่ำกว่า B เลย

ผู้อำนวยการเริ่มคำถามว่า " เธอเคยได้รับทุนการศึกษาอะไรหรือเปล่า ?"

เด็กหนุ่มตอบว่า " ไม่เคยครับ "

ผู้อำนวยการถามต่อว่า " คุณพ่อของเธอเป็นคนจ่ายค่าเล่าเรียนให้ใช่ไหม? "

เด็กหนุ่มตอบว่า " คุณพ่อของผมเสียไปตั้งแต่ผมอายุได้ขวบเดียวครับเป็นคุณแม่ที่จ่ายค่าเล่าเรียนให้ผม"

ผู้อำนวยการถามต่อว่า " คุณแม่ของเธอทำงานที่ไหน? "

เด็กหนุ่มตอบว่า " คุณแม่รับจ้างซักผ้ารีดผ้า "

ผู้อำนวยการขอดูมือของเขา เด็กหนุ่มยื่นมือที่เรียบลื่นไม่มีที่ติให้ผู้อำนวยการดู

ผู้อำนวยการถามต่อว่า " เธอเคยช่วยคุณแม่ของเธอทำงานบ้างหรือเปล่า ?"

เขาตอบว่า " ไม่เคยครับ คุณแม่ต้องการให้ผมเรียนแล้วก็อ่านหนังสือเยอะ ๆ คุณแม่ซักผ้าได้เร็วกว่าผมด้วยครับ "

ผู้อำนวยการบอกว่า " ฉันมีเรื่องให้เธอช่วยทำอย่างหนึ่งนะ วันนี้ เธอกลับไปที่บ้าน ช่วยล้างมือของคุณแม่ของเธอแล้วกลับมาพบฉันอีกทีพรุ่งนี้เช้า "

ด้วยความมั่นใจว่าโอกาสที่จะได้งานทำมีอยู่สูงมากเมื่อเขากลับไปถึงบ้านเขา จึงรู้สึกเต็มใจที่จะล้างมือให้แม่ของเขา ทั้งๆ ที่ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลย แต่ด้วยความอยากได้งาน ก็เลยทำให้คุณแม่ ฝ่ายแม่ก็รู้สึกประหลาดใจระคน หวั่นใจ เธอส่งมือให้ลูก หนุ่มน้อยค่อยๆ ล้างมือให้แม่ แล้วน้ำตาไหลก็ออกมา

เขาเพิ่งรู้สึกว่ามือของแม่นั้นช่างเหี่ยวย่นและ เต็มไปด้วยริ้วรอยขูดข่วน และบาดแผล ซึ่งบางแผลพอโดนน้ำก็ทำให้แม่เจ็บจนตัวสั่นระริก

นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มตระหนักรู้ว่า มือคู่นี้เองที่ซักผ้าทุกวัน เพื่อหารายได้มาส่งเสียให้เขาได้เล่าเรียน รอยแผลเหล่านี้คือ ราคาที่แม่ต้องจ่ายไป เพื่อความสำเร็จในการศึกษาของเขา เพื่อผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมของเขา และอาจจะเพื่ออนาคตของเขาด้วย

คืนนั้นสองแม่ลูกได้คุยกัน อยู่นาน

เช้าวันต่อมา เด็กหนุ่มก็เดินทางไปที่ออฟฟิศของผู้อำนวยการ ผู้อำนวยการสังเกตเห็นน้ำตาในดวงตาของเขา จึงพูดขึ้นว่า " ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าเมื่อคืนที่บ้าน เธอทำอะไรบ้าง แล้วได้บทเรียนอะไร ? "

เด็กหนุ่มตอบว่า " ผมล้างมือให้แม่ครับ แล้วก็เลยช่วยแม่ซักผ้าที่เหลือจนเสร็จ "

ผู้อำนวยการบอกว่า " ช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยว่า เธอรู้สึกยังไง "

เด็กหนุ่มตอบ
"ข้อที่หนึ่ง ผมได้รู้ซึ้งถึงคำว่า สำนึกในบุญคุณ ถ้าไม่มีแม่ก็คงไม่มีความสำเร็จของผมด้วย

ข้อที่สอง จากการช่วยแม่ทำงาน ผมได้รู้ว่ามันลำบากยากเย็นยังไงกว่าจะทำอะไรออกมาสักอย่างหนึ่ง

ข้อที่สาม ผมได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของความรักและความผูกพันในครอบครัว "

ผู้อำนวยการจึงบอกว่า " นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการ ฉันอยากได้ คนที่รู้ค่าของการได้รับความช่วยเหลือ อยากได้คนที่เข้าใจถึงความลำบาก ของใครสักคนในการจะทำอะไรได้มาสักอย่าง และอยากได้คนที่ไม่ได้ตั้งเงิน เป็นเป้าหมายในชีวิตแต่เพียงอย่างเดียวมาเป็นผู้จัดการให้ฉัน เป็นอันตกลงว่าฉันรับเธอไว้ทำงาน "

ในเวลาต่อมา เด็กหนุ่มคนนี้ก็ได้ทำงานอย่างหนักและได้รับความนับถือจากผู้ใต้บังคับบัญชาลูกจ้าง ทุกคนทำงานเป็นทีมอย่างขยันขันแข็ง กิจการของบริษัทก็เจริญก้าวหน้าเป็นอย่างดี

ใครที่ถูกตามใจจนเป็นนิสัยได้รับทุกอย่างที่ต้องการ จะสร้างนิสัยเอาแต่ใจตัวเองและเห็นแก่ตัวเองเป็นอันดับแรก เขาจะไม่สนใจ ความเหนื่อยยากของพ่อแม่ เมื่อถึงวัยทำงานเขาก็จะคาดหวังว่า ใคร ๆ จะต้องเชื่อฟังเขา เมื่อเขาเป็นผู้จัดการ เขาจึงไม่มีวันรู้ว่าบรรดาลูกจ้างนั้นลำบากอย่างไร และมักจะโทษคนอื่นเสมอ

การทำงานทุกอย่างนั้น กว่าจะประสบความสำเร็จมันไม่ใช่ง่ายๆ หรือแค่เพียงข้ามคืน บางคนมองแค่เพียงความสำเร็จของคนอื่น โดยไม่ได้มองลึกลงไปว่า กว่าที่เขาจะมาถึงวันนี้ได้นั้น เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง เลยทำให้คนรุ่นใหม่ที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้ อยากที่จะประสบความสำเร็จเร็วๆ แบบสบายๆ พอเวลาที่เจอกับความยากลำบากเข่า ก็มาโวยวาย ร้องเรียน ว่าชีวิตเราทำไมถึงต้องเหนื่อยยากขนาดนี้ ฯลฯ

นี่คือความแตกต่างของคนที่ประสบความสำเร็จกับคนที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต คนที่ประสบความสำเร็จจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ไปได้ด้วยความอดทน มุ่งมั่น ไม่ย่อท้อ และรู้คุณค่าของความยากลำบากที่เกิดขึ้น


ที่มา : http://www.bloggang.com/