(http://www.lertchaimaster.com/imageforum/kregrit.jpg)
ร้อยปีมีท่านคนเดียว
พ.ศ. 2454 วันที่ 20 เมษายน ในเรือที่ล่องอยู่กลางลำน้ำเจ้าพระยา ณ ตำบลบ้านม้า อำเภออินทบุรี จังหวัดสิงห์บุรีเด็กชายผู้หนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้น ไม่เกินไปเลยที่จะกล่าวว่าใน 100 ปี จึงจะมีบุคคลเช่นหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช มาเกิดสักครั้ง
เด็กชาย คึกฤทธิ์ เป็นโอรสคนสุดท้อง ในบรรดาโอรส-ธิดา ทั้ง 6 คน ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบ กับหม่อมแดง (บุนนาค) ได้รับพระราชทานนาม "คึกฤทธิ์"จากสมเด็จพระพันปีหลวง หรือ สมเด็จพระราชชนนี ของรัชกาลที่ 6 ด้วยความที่เมื่อนำมาเข้าเฝ้าตอนเกิดนั้น ทารกได้แสดงฤทธิ์ร้องไห้ ดิ้นซน สมกับชื่อ คึกฤทธิ์ นั้นเอง ท่านเป็นน้องชายแท้ ๆ ของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี จึงทำให้สื่อมวลชนยุคนั้น พากันเรียกทั้งคู่ว่า "หม่อมพี่ หม่อมน้อง" นอกจากนี้ท่านยังมีพี่สาวคือ ม.ร.ว.บุญรับ พินิจชนคดี (สมรสกับ พล.ต.อ.พระพินิจชนคดี หรือ พินิจ อินทรทูต)
ในปี พ.ศ.2479 หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช สมรสกับหม่อมราชวงศ์พักตร์พริ้ง (ทองใหญ่) ปราโมช ธิดาของพลตรีหม่อมเจ้าทองทีฆายุ ทองใหญ่ และหม่อมลุมมิลา ทองใหญ่ มีบุตรธิดา 2 คน คือ หม่อมหลวงรองฤทธิ์ ปราโมช (ชาย) และหม่อมหลวงวิสุมิตรา ปราโมช (หญิง) ต่อมาท่านได้แยกกันอยู่กับหม่อมราชวงศ์พักตร์พริ้งแต่ก็มิได้พบรักครั้งใหม่ กับหญิงใดอีกเลย
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช พักอยู่ที่บ้าน อันเป็นบ้านที่รู้จักกันดีในชื่อว่า "บ้านซอยสวนพลู"ในซอยพระพินิจ ซึ่งเป็นซอยย่อยอยู่ในซอยสวนพลู ถนนสาทรใต้ เขตสาทร ตลอดชีวิตของท่านนั้น โดดเด่นทั้งในบทบาทของนักปราชญ์ นักการเมือง ศิลปิน รวมทั้งนักเขียน
การศึกษา
สำหรับด้านการศึกษานั้น ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ได้รับการศึกษาชั้นต้น ที่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย (วังหลัง) จากนั้นได้เข้าศึกษาต่อ ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และเดินทางไปศึกษาต่อ ในประเทศอังกฤษ ที่โรงเรียนเทรนด์คอลเลจ (Trent College) จากนั้นได้สอบเข้าศึกษาวิชาปรัชญาเศรษฐศาสตร์และการเมือง (Philosophy, Politics and Economics - PPE) ที่ ควีนส์คอลเลจ (The Queen's College) มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ โดยสำเร็จปริญญาตรีเกียรตินิยม และและ 3 ปีต่อมา ก็ได้รับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเดียวกันนี้
ประวัติการทำงาน
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เริ่มเข้ารับราชการครั้งเเรกที่กรมสรรพากร ต่อมาเป็นเลขานุการที่ปรึกษากระทรวงการคลัง และเข้าทำงานเป็นผู้จัดการธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาลำปาง เคยเป็นทหารออกศึกเมื่อเกิดสงครามอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา ได้เข้ารับราชการทหารและได้รับยศ "นายสิบตรี" ต่อจากเมื่อนั้นรัฐบาลได้ตั้งธนาคารแห่งประเทศไทยขึ้น ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เข้าก็เข้าทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายสำนักผู้ว่าการและดำรงตำแหน่งหัวหน้า ฝ่ายออกบัตร ธนาคารแห่งประเทศไทย และต่อมาเป็นประธานกรรมการ ธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) กระทั่งในปี พ.ศ.2531 ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เลื่อนยศเป็น "พลตรี"(ทหารราชองครักษ์พิเศษ) และกับการเลื่อนยศจากพลตรี เป็น พลเอก ในยุคของ พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 17
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ยังได้เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยทั้ง มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง(มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) ระหว่างปี พ.ศ.2485 - พ.ศ. 2490 โดยสอน วิชาการธนาคาร ในชั้นปริญญาโททางเศรษฐศาสตร์ และวิชาการธนาคารของการศึกษาเพื่อรับประกาศนียบัตรชั้นสูงทางการบัญชี รวมทั้งสอนที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะพาณิชย์และการบัญชีในปี พ.ศ.2485 - พ.ศ.2495 และสอนในคณะรัฐศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2491 - พ.ศ. 2494
บทบาททางการเมือง
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เริ่มเข้าสู่เส้นทางการเมือง โดยเป็นผู้ก่อตั้ง "พรรคก้าวหน้า" เมื่อ พ.ศ. 2488 ต่อมาได้ยุบรวมกับพรรคประชาธิปัตย์ในปีถัดมา ต่อมาก่อตั้งหนังสือพิมพ์สยามรัฐ เมื่อ พ.ศ. 2493 และได้ริเริ่มจัดตั้ง "พรรคกิจสังคม" เมื่อ พ.ศ. 2517 และในการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ.2518 ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร ในเขตพระนคร ผลการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคที่ได้รับเสียงข้างมากในสภาคือ พรรคประชาธิปัตย์ แต่ไม่สามารถดำเนินการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อเข้าบริหารประเทศได้ตลอดรอดฝั่ง จึงเป็นผลให้ พรรคเสียงข้างน้อยอย่างพรรคกิจสังคม โดยการนำของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพียง 18 คน ได้มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้น และท่านก็ได้ก้าวขึ้นเป็น นายกรัฐมนตรี คนที่ 13 ของประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.2518
ในขณะที่บริหารประเทศนั้น ผลงานอันเป็นที่รู้จักกันดีนั้นก็คือ เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่ได้ดำเนินการเปิดสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐ ประชาชนจีน โดยเดินทางไปเยือนกรุงปักกิ่งเมื่อปี พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) ตามนโยบายการอยู่ร่วมกันอย่างปกติ และเป็นมิตรกับทุกประเทศที่มีเจตนาดีต่อประเทศไทยโดยไม่คำนึงถึง ความแตกต่างทางอุดมการณ์ทางการเมืองและนโยบาย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ถือเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก และเป็นเชื้อพระวงศ์ในบรมราชสกุลจักรีวงศ์คนแรก ที่เดินทางไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การปกครองของลัทธิคอมมิวนิสต์
และอีกผลงานอันนโยบายที่เป็นที่รู้จดจำในสมัยของท่านนั้นก็คือ "นโยบายเงินผัน" เพื่อปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ และสร้างงานในชนบท อันเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในสมัยนั้น แต่ด้วยความที่เป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค จึงทำให้รัฐบาล ขาดเสถียรภาพ เมื่อต้องเผชิญกับหลากปัญหาทางการเมืองมากเข้า ท่านจึงได้ตัดสินใจ ยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ.2519 รวมระยะเวลาที่บริหารประเทศประมาณ 9 เดือนเศษ
ในบั้นปลายชีวิต ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็ได้ลาออกจากตำแหน่ง หัวหน้าพรรคกิจสังคม ในปี พ.ศ. 2528 พร้อมทั้งปิดฉากของการนักการเมืองลง แต่ก็ยังมีการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอยู่เรื่อยมาทั้งจากการให้สัมภาษณ์ และเขียนบทความ ลงในคอลัมน์ "ซอยสวนพลู" นับว่าท่านเป็นผู้มีบุคลิกอันโดดเด่นด้วยการใช้วาทศิลป์อันยอมเยี่ยม ที่มีความร้อนแรง แสบสรรและแฝงด้วยอารมณ์ขันที่มีรสนิยม หลายครั้งที่คำให้สัมภาษณ์และบทความในคอลัมน์ของท่านได้เป็นประเด็นร้อนใน สังคมทันที ยืนยันได้จาก การมีหนังสือและบทความมากมายที่รวบรวมเอาเกร็ดคำพูดและการแสดงออกของท่าน ถ่ายทอดออกมา
ผลงานประพันธ์
อีกบทบาทสำคัญของม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นั้นก็คือ เป็นผู้มีความสามารถในทางวรรณกรรมอย่างที่หาตัวจับได้อย่าง ต้องยอมรับว่าผลงานของท่านเป็นแม่แบบและเแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆคน โดยเฉพาะการสร้างแม่พลอย ในอมตะนิยายผลงานชิ้นยอด "สี่แผ่นดิน" นอกจากนี้ท่านยังมีผลงานอีกมากมายทั้งนิยาย เรื่องแปล เรื่องสั้น บทความ บทวิจารณ์ เช่น สี่แผ่นดิน,ไผ่แดง, กาเหว่าที่บางเพลง, ซูสีไทเฮา,สามก๊กฉบับนายทุน, ราโชมอน, มอม, เพื่อนนอน, หลายชีวิต, ฉากญี่ปุ่น, ยิว, เจ้าโลก, ฝรั่งศักดินา, สัพเพเหระคดี, โครงกระดูกในตู้, พม่าเสียเมือง, ถกเขมร ฯลฯ และความสามารถที่ต้องยอมรับเช่นนี้ ท่านจึงเป็นผู้ที่สมควรได้รับการยกย่องเป็น "ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์" คนแรกของประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ.2528 และในบทบาทของนักหนังสือพิมพ์ท่านได้ร่วมกับคุณ สละ ลิขิตกุล บุกเบิกก่อตั้ง "หนังสือพิมพ์สยามรัฐ" ขึ้นมา
โขนธรรมศาสตร์
และอีกหนึ่งศิลปะที่ลืมเสียมิได้ ศ. พลตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม "อาจารย์หม่อม" ของศิลปะทางโขนละคร ท่านนับว่าเป็นผู้ที่มีความสำคัญต่อโขนธรรมศาสตร์ในฐานะผู้ก่อตั้ง และผู้อุปถัมภ์ ชาวโขนธรรมศาสตร์นั้นกล่าวกันว่า "ถ้าไม่มีอาจารย์คึกฤทธิ์ ก็คงไม่มีโขนธรรมศาสตร์เกิดขึ้น" โขนธรรมศาสตร์ในวันที่ไร้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ยังคงสืบสานเจตนารมณ์ของท่านไว้ และชาวโขนธรรมศาสตร์ก็ยังได้ระลึกถึงท่านในการแสดงทุกครั้งของโขนธรรมศาสตร์
จะมีใครสักกี่คนที่ตลอดชั่วชีวิตได้สร้างสิ่งที่ควรบันทึกไว้เป็นประวัติ ศาสตร์ได้อย่าง พลตรี ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ในวาระสุดท้ายของชีวิตท่านได้พักอยู่ที่ "บ้านซอยสวนพลู" บ้านเรือนไทยไม้สัก ในซอยพระพินิจ ถนนสาทรใต้ และถึงแก่อสัญกรรม ด้วยอาการสงบ เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2538 ณ โรงพยาบาลสมิติเวช รวมอายุได้ 84 ปีเศษ โดยในปี พ.ศ. 2554 ท่านก็จะมีอายุครบ 100 ปีชาตะกาล
ที่มา : วิชาการดอทคอม