เหมาเจ๋อตุง จักรพรรดิแดง
เป็น เวลา 25 ปีที่เหมาเจ๋อตุงปกครองประชากร 1 ใน 4 ของโลก เค้าเปลี่ยน จีนจากระบบศักดินาที่ล้าหลังให้เป็นประเทศที่ทรงอำนาจมากที่สุด แต่เบื้องหลังความเงียบของเค้า เรารู้ว่า เค้าอยู่เบื้องหลังการประหาร ประชากร ร่วมชาติกว่า 10 ล้านคน เขาปรกครองเหมือนจักรพรรดิ แต่ยังเป็นคนที่เรียบง่าย นี้คือเรื่องราวของชายที่ได้รับการเทิดทูนเหมือนพระเจ้ามาตลอดชีวิต แต่อาจถูกตัดสินในวันข้างหน้าว่าเป็นเผด็จการกระหายเลือดในศตวรรษที่ 20
(http://www.lertchaimaster.com/imageforum/180px-Mao_Zedong_portrait.jpg)
้เหมา เจ๋อ ตุง : Mao Tse-tung เกิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2436 มณฑลหูหนาน ประเทศจีน ถึงแก่อสัญกรรม 9 กันยายน พ.ศ. 2519 (อายุ 82 ปี) กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน สังกัดพรรค พรรคคอมมิวนิสต์จีน
เป็นบุตรชายในตระกูลชาวนาเจ้าของที่ดิน จบการศึกษาจากวิทยาลัยฝึกหัดครู ก่อนจะเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีน หลังจากถูกปราบปรามโดยนายพลเจียง ไคเชกเหมาฯ ได้ขึ้นมาเป็นประธานของคณะโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์แห่ง ประเทศจีน ภายใต้การปกครองของเหมา เจ๋อตง พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนได้ชนะสงครามกลางเมืองจีน และปกครองจีนแผ่นดินใหญ่ได้
เหมา เจ๋อตงได้ประกาศตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเหมา ได้นำประเทศเข้าเป็นพันธมิตรกับสหภาพโซเวียต ก่อนจะแยกตัวมาภายหลัง เขายังเป็นผู้นำให้เกิดการปฏิวัติวัฒนธรรมเหมาได้รับการยกย่องให้รวมประเทศ จีนเป็น ปึกแผ่นอีกครั้ง หลังจากตกอยู่ใต้อิทธิพลของต่างชาติตั้งแต่สงครามฝิ่น ในประเทศเขาถูกเรียกว่า ประธานเหมา (Chairman Mao) แต่ เขาปกครองประเทศจีน และก็มีป้ายปรากฏคำวิพากษ์วิจารณ์ต่อพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นครั้งสุดท้ายที่เหมาจะขอความคิดเห็นกับประชาชนจีน ไม่ช้าหลังจากนั้นเขาก็กำจัดคนที่ออกมาพูดอย่างอำมหิต คนหลายแสนคนถูกระบุว่าเป็นพลเรือนฝ่ายขวาและถูกไล่ออกจากงานคน หลายหมื่นคนถูกส่งเข้าคุก แต่เหมาไม่สนใจอีกต่อไป เขาแวดล้อมด้วยลูกขุนพลอยพยักและมีอิสระที่จะดำเนินตามความคิด ซึ่งมีน้อยคนนักที่จะคาดเดาปลายทางได้ ปี พ.ศ. 2501 เหมาออกจากปักกิ่งไปเยือนชนบท เขาหมดความอดทนกับความเปลี่ยนแปลงที่ล่าช้า และกังวลว่าการปฏิวัติจะสูญเสียความต่อเนื่อง เขารู้สึกว่าถึงเวลาเปลี่ยนแปลงประเทศ ฤดูหนาว ปี พ.ศ. 2502 ผลจากความทะเยอทะยานของเหมา ทำให้จีนตกอยู่ในภาวะลำบาก คนทั้งหมู่บ้านเสียชีวิตด้วยความอดอยากเมื่อประชาชนไม่มีอะไรจะกิน เขาก็กินร่างของคนที่เพิ่งตาย ไม่มีใครทราบว่าลัทธิการกินเนื้อมนุษย์ได้แพร่ขยายไปอย่างไร แต่ผู้คนราว 40 ล้านคนต้องเสียชีวิตด้วยความหิวโหย ระหว่างปี พ.ศ. 2502 - 2504 ความสับสนกระจายไปทั่วจีนราวกับพายุขบวนการร้ายกาจถูกตั้งขึ้นเพื่อกำจัดผู้ ที่เป็นกลางทางการเมือง ขบวนการร้ายกาจครอบงำไปทั้งประเทศ ปลายยุค พ.ศ. 2503 มีประชากรมากกว่า 1 ล้านคนถูกฆ่าหรือถูกจำคุกโดยขบวนการร้ายกาจ ขบวนการร้ายกาจถูกปลดหลังจากหลายปีแห่งความวุ่นวายในจีน ตอนนี้เหมาหาวิธีการที่จะเปิดประเทศจีนสู่ประชาคมโลก เป็นการริเริ่มที่สำคัญครั้งสุดท้ายของเขาด้วยลักษณะนิสัยที่ไม่เกรงกลัว สิ่งใด เขาหันเข้าหาศัตรูคือ สหรัฐอเมริกา โดยปี พ.ศ. 2515 เขาได้เชิญประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันแห่งอเมริกา มาที่ปักกิ่ง เพื่อเข้าร่วมการประชุม เป็นการสนทนาครั้งแรกของทั้งสองประเทศในช่วงเวลาเกือบ 3 ทศวรรษ แต่สุขภาพเหมาก็แย่ลง 18 กันยายน พ.ศ. 2519 เขาเสียชีวิตด้วยอายุ 83 ปี แต่เบื้องหลังความนิ่งเงียบของเขาทำให้เรารู้ว่าเขาอยู่เบื้องหลังการประหาร ประชากรร่วมชาติกว่า 10 ล้านคน
ตั้งแต่ช่วงฤดูหนาวปี 1960-1965เป็นต้นมา
คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนแห่งบทบาทการนำของนายเหมา เจ๋อตง จีนได้ดำเนินหลักนโยบายเศรษฐกิจประชาชาติซึ่งจัดได้ว่าเข้มข้นอย่างเต็ม เปี่ยมไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุง ความมั่นคง ความสมบูรณ์ การยกระดับ รวมถึงได้มีการแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่าง"การก้าวกระโดดอย่าง รวดเร็ว และผลักดันการเคลื่อนไหวให้เป็นแบบคอมมูนประชาชน อัน ส่งผลให้เศรษฐกิจประชาชาติได้รับการปฎืรูปฟื้นฟูและมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
โดย ได้มีการแก้ไขข้อผิดพลาดของฝ่ายซ้ายในแง่ การบริหารงานภาคชนบทและด้านอื่นๆ ประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาข้อขัดแย้งระหว่างชนชั้นกรรมาชีพและชนชั้นนายทุน ซึ่งข้อขัดแย้งนี้นับเป็นเหตุสนับสนุนแห่งการก่อการเคลื่อนไหวด้านการส่ง เสริมการศึกษาสังคมนิยมทั้งในเขตชนบทและในเมือง โดยแนวคิดสำคัญของการเคลื่อนไหวคือ ?ผู้มี อำนาจพรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องต่อสู้กับลัทธิมหาประเทศของผู้นำพรรค คอมมิวนิสต์โซเวียดที่มีวัตถุประสงค์มุ่งแทรกแซงและควบคุมจีนให้หลุดจากกัน อย่างเด็ดขาด
โดย แม้ว่าเขาจะมีข้อผิดพลาดที่เกิด ขึ้นอย่างรุนแรงก็ตาม แต่หากมองโดยวัดผลโดยรวมนับได้ว่าเขาเป็นผู้สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ต่อการ ปฏิวัติจีนที่มีความสำคัญยิ่งกว่าข้อผิดพลาดที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง ดังจะเห็นได้ว่าปัจจุบัน เหมา เจ๋อตงยังคงได้รับความเคารพนับถือจากชาวจีนโดยทั่งไปอย่างมหาศาลแม้ว่าจะ ล่วงเลยเวลาแห่งการอสัญกรรม นานถึง 5 ปีแล้วก็ตาม
เหมา เจ๋อตง เป็นบุตรชายชาวนา ของอำเภอ เซียงถานในมณฑลหูหนาน ในหมู่บ้านเทือกเขา ?เสาซาน? เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวนาชาวไร่ ชื่อว่าหมู่บ้านเสาซาน กว่า 600 ครอบ ครัวส่วนใหญ่แซ่เหมา มีอยู่ครอบครัวหนึ่ง พ่อบ้านชื่อ เหมาซุนเซิง และแม่บ้านชื่อ นางเหวินซิเหม่ย เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ปี 1893 นางเหวินซิเหม่ย ได้ให้กำเนิดบุตรชาย นามว่า เหมาเจ๋อตง มีไฝดำติดตัวมาด้วยที่คาง แต่เนื่องจากว่าบุตรก่อนหน้านี้ 2 คน ชิงลาโลกไปก่อน สองสามีภรรยาเกรงว่าเหตุการณ์จะซ้อรอย จึงนำทารกน้อยนี้ไปฝากให้คุณยายเป็นผู้เลี้ยงดู และก็เซ่นไหว้หินใหญ่ก้อนหนึ่งที่อยู่ริมฝั่งหนองน้ำหน้าบ้าน ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของหินก้อนนี้ เพราะชาวบ้านเชื่อกันว่าหินก้อนนี้ศักดิ์สิทธิ์มาก สามารถแผลงฤทธิ์ปัดรังควานได้ และใหทารกน้อยนี้ใช้ แซ่ ?ซึ? ซึ่งแปลว่าหิน ตามชื่อแม่บุญธรรม และเพราะเหตุเป็นบุตรนที่ 3 จึงเรียกชื่อว่า ? ซึซานหยาจื่อ? ทารกแซ่ซึคนที่สาม
ขณะ เดียวกัน นางเหวินชิเหม่ยมารดา ก็ถือศีลกินเจ เพื่อช่วยส่งผลบุญให้ ?ซึน้อย? คนนี้ มีชีวิตรอดปลอดภัย เหมือนเด็กคนอื่นทั่วไปไปผิดแผกไปจากเด็กชาวนาคนอื่นๆเลย เพียงต่อมา เมื่อเหมาเจ๋อตงผู้นี้เติบใหญ่กลายเป็นคนสำคัญขึ้นมาแล้ว จึงลือกันไปตามธรรมเนียมว่า ก่อนจะตั้งครรภ์ นางเหวินซิเหม่ยเคยฝันเห็นมังกรเหินฟ้า บ้างก็ว่าวันที่ทารกตกฟาก ทั้งๆที่เป็นฤดูหนาวจัด ก็กลับมีฝนฟ้าคะนองคล้ายจะฉลองผู้มีบุญมาเกิด บ้างก็ว่าเด็กคนนี้พอเกิดก็ติดดาบปราบอธรรมมากับตัวด้วย
วัย เด็กซึซานหยาจื่อ หรือ เหมาเจ๋อตง ได้รับผลจากมารดา เคยถือม้าไม้ตัวเล็กๆ ปากก็ท่องบ่น ? อมิตพุทธ? เดินไปคุกเข่ากหน้าบ้านขึ้นไปบนยอดเขาไหว้เจ้าที่ว่ากันว่าสิงสถิตอยู่บน นั้น เพื่อความอยู่รอดของชีวิตตน เหตุที่ใช้ชื่อว่าเหมาเจ๋ตง เพราะว่า บ้านเกิดอยู่ทางทิศตะวันออกของหนองน้ำใหญ่หน้าบ้าน หนองน้ำในภาษาจีนคือ ?เจ๋อ? ตะวันออกคือ ?ตง? เมื่อรวมกับแซ่แล้ว จึงมีว่า ? เหมา เจ๋อ ตง? เหมา เจ๋อตง ถือกำเนิดในยุคที่สังคมศักดินาของจีนกำลังตกต่ำ เป็นยุคที่ดินแดนปิตุภูมิถูก และเล็ม กลืนกินอย่างย่ามใจจากมหาอำนาจทั่วโลก เมื่อเขาลืมตาดูโลกได้ไม่กี่เดือน จีนก็รบแพ้จักรวรดิญี่ปุ่น ยับเยิน ในสงครามเจี้ยอู่ ต้องทำสัญญาหม่ากวนอันอัปยศ ยกไต้หวันและเกาะแก่งต่างๆบริเวณนั้นให้ญี่ปุ่น ซ้ำยังต้องต่ายค่าปฏิกรรมสงครามก้อนมหึมาชดใช้ไปด้วย และอีกหลายปี วัยเด็กและวัยรุ่นของเหมาเจ๋อตง ดำรงชีวิตตามประสาเด็กชาวนา อยู่ในท้องนาที่ราบหุบเขาระหว่างอำเภอเซียงถานกับเซียงเซียงในมณฑลหูหนาน ไม่รู้เรื่องราวอื่นใดนอกจากการทำไร่ไถนา เขาก็ เหมือนลูกชาวนาทั่วไป วันหนึ่งๆ ก็ตัดหญ้า เลี้ยงหมู เลี้ยงวัว ควาย ตัดฟืน โม่ข้าว ตำข้าว ปลูกผัก ซนไปตามประสาเด็ก ถูกพ้อเฆี่ยนตีอยู่เสมอ นอกจากนี้ ยังไว้ผมเปียห้อยโตงเตงอยู่ทางท้ายทอยตามแบบของราชวงศ์ชิง ปากก็ท่องบ่นแต่หนังสือที่ถูกบังคับให้เรียนให้ท่อง เช่น ?คัมภีร์อักษรสามตัว? ? คัมภีร์ หลุนหยี่? ของขงจื้อ และ คัมภีร์เมิ่งจื่อ ตำราเรียน เก่าค่ำคร่าของปราชญ์ สมัยโบราณ ให้ขึ้นใจ ครอบครัวเหมาเจ๋อตงไม่ใช่ครอบครัวที่มียศ ถาบรรดาศักดิ์อะไร ไม่มีเลือดสีน้ำเงิน โคตรเหง้าก็เป็นชาวนาธรรมดาสามัญในถิ่นกันดารห่างไกลจากความเจิญ ในความทรงจำของเหมาเจ๋อตง วัยเด็ก เขาต้องจุดตะเกียงน้ำมันด้วยหินเหล็กไฟ่ ได้ยินเสียงกี่กระตุกทอผ้า เสียงกระสวยแล่นไปมา เฉกเช่น เมื่อร้อยพันปีก่อนชั่วนาตาปี ไม่เคยเว้นว่าง หน้า บ้านมีหนองน้ำ ให้เขาลงไปเลานน้ำ ดำหัวสนุกสนาน ไปตามประสา ส่วนพ่อก็ เอาแต่บ่นคำว่า ? กินไม่จน ใช้ไม่จน แต่ใช้ไม่คิดก็จนไปตลอดชาติ ? สิ่งที่เหมาเจ๋อตง มีความประทับใจในวัยเด็กอย่างลึกซึ้งคือ พริกแดงที่ร้อยเป็นพวแขวนห้อยยาวอยู่บนขื่อ มันแขวนอยู่อย่างนั้น จนจำไม่ได้แล้วว่ามันอยู่ที่นั่นมานานเท่าใดแล้ว
เมื่อเหมา เจ๋อตงมีอายุ ได้ 8 ขวบ ก็เข้าเรียน ในโรงเรียน สอนหนังสือโบราณเอกชนในหมู่บ้าน เขาเรียนอยู่ 5 ปี เริ่มจาก คัมภีร์อักษรสามตัว ต่อด้วยคัมภีร์หลุ่นยี่ เมิ่งจื่อ คัมภีร์ซือจิง เป็นลำดับ ความจำเขาดีมาก หนังสือที่ผ่านตาเขาไปแล้วก็แทบจะไม่มีวันลืม ความทรงจำอันแม่นยำแบบนี้ถึงวัยชราก็ยังมิได้เสื่อมถอย ในการโต้แย้ง การโต้วาที การปาฐกถา การสนทนา เขาสามารถจะหยิบยก เอาสำนวนโบราณออกมาเปรียบเทียบได้ทุกขณะ และยังสามารถอธิบาย ความหมายของมันได้ไม่ผิดเพี้ยน ทำให้ถ้อยคำของเขามีน้ำหนัก น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ความคิดของเขาฉับไว อาจารย์ออกหัวข้อให้เขาเขียนเป็นบนความ เขาก็มัก เป็นคนส่งต้นฉบับให้อาจารย์ก่อนเพื่อนเสมอ และเนื่องจากเขาขยันเปิด ?พจนานุกรมคังซี? บทเรียนที่อาจารย์ยังไม่ทันสอน เขาก็เข้าใจและรู้ความหมายทั้งหมดแล้ว อาจารย์เห็นแววฉลาดของเขาจึงตั้งชื่อเล่นเรียกเขา ว่า ?ผู้ช่วยประหยัดเวลา?
ต่อ มาเหมาเจ๋อตงได้เข้าเรียนที่โรงเรียนประถมตง ซานในอำเภอเซียงเซียง แต่กว่าจะได้ก็ยากเอาการอยู่ เหตุเพราะบิดาไม่อนุญาติต้องใช้เงินมาก เหมาลุจง ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งเห็นแววในตัวของเหมาเจ๋อตง จึงพยายามอธิบายผลดีของการเรียนต่อและรับรองว่าเหมาเจ๋อตงได้ไปเรียน โรงเรียนแบบใหม่แล้วต้องทำให้ครอบครัวเงยหน้าอ้าปากได้อย่างแน่นอนบิดาจึง ยอมใจอ่อน ภายหลัง เหมาซุ่นเซิง ผู้เป็นบิดาหวังให้บุตรชายรับช่วงกิจการของครอบครัวสืบไป เป็นชาวนาที่พอมีอันจะกินหรือพ่อค้าที่พอเลี้ยงครอบครัวได้ให้อยู่อย่างสบาย ๆได้เท่านั้น เรียนหนังสือมากไปก็ไร้ประโยชน์ ฉะนั้น พอเหมาเจ๋อตงอายุได้ 13 ปี บิดาก็ให้เลิกเรียน เขาเริ่มเข้าร่วมการใช้แรงงานทำไร่ไถนา อย่างเดียวกับพวกผู้ใหญ่ หลังจากการใช้แรงงานประจำวันแล้ว เหมาเจ๋อตงก็หาหนังสืออ่านเหมือนคนตายอดตายอยาก บิดาไม่ชอบให้ลูกชายอ่านหนังสือ เพราะต้องจุดตะเกียงเปลืองน้ำมัน เหมาเจ๋อตง จึงจำต้องใช้ผ้าห่มปิดหน้าต่างไว้ มิให้แสงไปลอดออกไปให้เห็นนอกบ้าน ต่อมาเมื่อเขาอายุได้ 16 ปี บิดาส่งเขาไปเป็นลูกศิษย์ฝึกหัดที่ร้านขายข้าวแห่งหนึ่งในอำเภอเซียงถาน แต่เหมาเจ๋อตงยืนยัน จะไปเข้าเรียน ที่โรงเรียนตงซานในอำเภอเซียงเซียงอย่างเด็ดเดี่ยว ในการประลองเจตนารมณ์กันในคราวนี้ เรียกได้ว่าเป็น จุดหักเหครั้งแรกสุดในชีวิตของเหมาเจ๋อตงใน 16 ปี แรกแห่งชีวิตเขา เขาได้ใช้ยุทธวิธีรบโอบล้อมวกวนเป็นครั้งแรก โดย การออกไปวิ่งเต้นขอร้องพวกผู้ใหญ่ในตระกูล โดยเฉพาะเหมาลุจงซึ่งเคยเป็นอาจารย์สอนเขามาก่อนให้ช่วยกันเกลี้ยกล่อมบิดา ตน หลังจากการประลองกันหลายยก บิดาก็อ่อนข้อในที่สุด ในความดีใจเหมาเจ๋อตงเขียนกลอนเลียนแบบนักเขียนญี่ปุ่น คนหนึ่งชื่อ ทาคาโมริ เซอิซาน ไว้ให้บิดาว่า ?ลูกตัดสินใจไปต่างถิ่น ไม่มีชื่อเสียงจะไม่กลับ ฝังกระดูกไยต้องไว้ที่บ้านเกิด ชีวิตคนใช่จะไร้ภูเขาเขียว?
เหมา เจ๋อตงเรียนอยู่โรงเรียนประถมตงซานได้เพียงเทอมเดียว ครูใหญ่และครูคนอื่นมีความเห็นสอดคล้องกันว่า ระดับความรู้ของเหมาเจ๋อตง สูงถึง ระดับมัธยมแล้ว จึงมีหนังสือแนะนำให้เหมาไปสอบเข้าโรงเรียนมัธยม เมื่อเขาไปถึงเมืองฉางซาก็สอบได้ เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมเซียงเซียงประจำฉางซา ซึ่งเป็นเมืองเอกของมณฑลหูหนาน เมื่อเทียบกับความกันดารของเสาซานแล้ว มันเจริญกว่าราวฟ้ากับดิน มีโรงงาน พ่นควันโขมง รถไฟเปิดหวูด ดังลั่นเสียงแสบแก้วหู เรือใหญ่เรือเล็กแล่นสวนกันไปมา ความอึกทึกจอแจของฉางซาทำให้เหมาเจ๋อตงตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง และในเมืองนี้เอง ที่เขาได้พบเห็นหนังสือพิมพ์ และเกิดความผูกพันกับมันนับแต่นั้นมา เหมาเจ๋อตง เรียนหนังสือไปก็สนใจสถานการณ์บ้านเมือง ด้วยวัย 17 เป็นวัยคึกคะนอง พอทราบเหตุเกี่ยวกับเหตุบ้านการเมือง จึงเข้าไปฝึกเป็นทหารเพื่อไปร่วมรบกู้ชาติ แต่ก็ทันที่จะได้รบเอาแต่ฝึก รัฐบาลก็มีแต่พังพินาศไปเร็วมาก เหมาเจ๋อตงคิดว่าการปฎิวัติสิ้นสุดลงแล้ว จึงลาออกจากทหารกลับไปเรียนหนังสือตามเดิม ต่อมาได้สอบเข้าโรงเรียนฝึกหัดครูที่ 4 ของมณฑลหูหนาน ภายหลังโรงเรียนนี้ยุบไปรวมอยู่กับ โรงเรียนฝึกหัดครูที่ 1 เขา ก็กลายเป็นนักเรียนของ โรงเรียนใหม่นี้ โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนระดับมัธยม ระดับการศึกษาสูงสุดของเหมาเจ๋อตงก็ได้ไปจากที่นี่ แต่มาตรฐานของโรงเรียนนี้สูงมาก เป็นระบบการศึกษา 5 ปี เนื้อหาและความเรียกร้องในการศึกษาไม่สู้จะแตกต่างกับระดับอุดมศึกษามากนัก และระดับการฝึกครูก็เข้มงวด บรรดาอาจารย์ในโรงเรียนไม่ใช่อาจารย์อย่างสุกเอาเผากิน การศึกษาของเหมาเจ๋อตงใน 5 ปีนี้ นับว่ามีความสำคัญต่อเขาพอสมควร
นอกจากการค้นคว้าศึกษาตำรับตำราเรียนแล้ว เขายังมีความเร่าร้อนในการศึกษาจากหนังสือที่ ?ไม่มีตัวอักษร? อีกต่างหาก หนังสือที่ไม่มีตัวอักษร นี้ก็คือการปฏิบัติทางสังคม วิธีอ่านหนังสือที่ไม่มีตัวอักษรของเหมาก็น่าประหลาด พวกปัญญาชนที่ตกอับสมัยเก่ามักจะใช้การรับจ้างเขียนจดหมายหรือเขียนป้ายโคลง คู่ติดหน้าบ้านเพื่อเลี้ยงชีพ และขนานนามวิธีขอทานที่แปลงโฉมเช่นนี้ว่า ?การศึกษาสัญจร? เหมาชอบใช้แบบวิธีนี้ เช่นไปสังเกตการณ์และสำรวจผู้คนชั้นต่ำสุดของสังคม และมีหลายครั้งที่เข้าก็เคยไปเป็น ?ขอทานแปลงโฉม? แบบนี้
เหมา เจ๋อตงในวัยเรียน โดยปกติแล้วเป็นคนเงียบไม่ค่อยพูด เวลาพูดก็ไปตามธรรมชาติ เดินเหินหนักแน่น นอบน้อมถ่อมตน กริยาท่าทางก็เป็นเช่นเดียวกับนักเรียนทั่วไป แต่ถ้าไปมาหาสู่กับเขานาน ก็จะเกิดความรู้สึกว่า ความคิดความอ่านเขากว้างไกล ความสนใจไม่ใฝ่ต่ำ พูดจาเป็นหลักเป็นฐาน ความประพฤติเปิดเผยตรงไปตรงมา ระหว่างที่เรียนที่นี่ เขาก็เป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งสมาคมเพื่อนนักเรียนขื้นมาแล้ว ลูกชาวนาเสาซานคนนี้ พอเริ่มต้นก็แสดงให้เห็นความสามารถในการจัดตั้งเป็นพิเศษ ที่ไหนมีมวลชนที่นั่นเหมาเจ๋อตงก็มักจะกลายเป็น ?หัวหน้า? คนสำคัญ เพราะเขามีวิธีการมากมาย ความเห็นก็ดี การแก้ไขปัญหาก็มีอะไรที่พิเศษเป็นผลยิ่งกว่าคนอื่น การวินิจฉัยและการคาดคะเนต่อเหตุการณ์ ความเป็นไปก็มักถูกต้องแม่นยำซ้ำยังมีพลังแห่งความโน้มน้าวที่น่าเชื่อถือ จนเป็นที่เห็นชอบ
หลังจากจบการ ศึกษาที่โรงเรียนฝึกหัดครูที่ 1 นี้แล้ว พวกเพื่อนนักเรียนต่างก็วิ่งหางานทำกัน เป็นเจ้าละหวั่น แต่เหมาเจ๋อตงกลับเกิดความคิดที่จะทดสอบชีวิต อีกแบบหนึ่ง ที่เรียกว่า ?ชีวิตใหม่? ที่แร้นแค้นยากลำบาก ก็คือทุกคนขึ้นเขาไปอยู่บนเขาเย่ลุซานกึ่งทำนากึ่งเรียน ไปเก็บฟืนตามที่ต่างๆ ไปหาบน้ำที่อยู่ห่างไกลจากที่พักใ ช้ถั่วปากอ้าผสมข้าวหุงกิน กินวันละมื้อ หลังจากนั้น ก็ทนหิวเรียนหนังสือกัน อภิปรายสถานการณ์คตั้งแต่เรื่องของจีนไปจนถึงเรื่องของโลก ความคิดนี้ เป็นความคิดเพื่อที่จะแก้ไขสังคมใหม่ ต่อ มาเหมาเจ๋อตงเห็นว่าพวกเขาไม่ควรจับกลุ่มสุ่มหัวกันอยู่แต่ที่นี่ ทางที่ดีที่สุดคือมีใครคนหนึ่งหรือหลายคนรับผิดชอบไปบุกเบิกที่หนึ่งๆทุกหน ทุกแห่งควรจะมีค่ายในทุกที่ เหมาเจ๋อตงได้ส่งสหายของเขาไปศึกษายังต่างแดนศิวิไลซ์ไกลโพ้น แต่ตัวเองกลับโบกมืออำลามองดูพวกเพื่อนๆจากไปทีท่าเรือด้วยความตื้นตัน ภายหลังเขาได้ไปเป็นพนักงานของหอสมุดมหาวิทยาลัยเป่ยผิง ทำให้เค้าได้ใช้โอกาสนี้ หมั่นศึกษาประวัติศาสตร์จีนและเรื่องราวต่างๆจนได้ไปเป็นครูสอนประวัติ ศาสตร์ที่โรงเรียนประถมซิวเย่ในฉางซา เพื่อเผยแพร่สิ่งต่างๆให้กับเยาวชน อีกนัยหนึ่งเพื่อเป็นการบ่มตัวก่อการเคลื่อนไหวรักชาติขึ้น แก่นักเรียนนักศึกษาของมหาวิทยาลัยและโรงเรียนต่างๆในเป่ยผิงไปด้วย